การเป็นผู้นำประเทศ ไม่ใช่เพียงแต่ผู้นำจะทำหน้าที่แค่ผู้นำ เพราะการคุมคนจำนวนมากให้อยู่ในกฏระเบียบได้ต้องอาศัย "ความสารถหลายด้าน" และ "การมองการณ์ไกล"
------------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------------
สีจิ้นผิง 习近平 ผู้ที่ไม่เลือกทำงานบน "เส้นสายของพ่อ" แต่เลือกไปเป็นแค่เจ้าหน้าที่ทำงานระดับเล็กๆ ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญในเหอเป่ยพร้อมกับคำพูดที่บอกว่า "เอ็งไม่ต้องห่วงข้าหรอก สักวันข้าจะกลับมา"
.
.
และแล้วสีจิ้นผิงก็กลับมาใหญ่ด้วยลำแข้งของตัวเอง เติบโตในหน้าที่การงานจนมาเป็น "ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์"
.
.
ถ้ามองให้ดี สีจิ้นผิงเริ่มทำ "การตลาด" ให้กับตัวเองในเรื่องของ story telling ที่สามารถครองใจคนระดับรากหญ้าได้อย่างล้นหลาม (ตอนนั้นคนจีนค่อนข้างยากจน)
.
.
หลังจากขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด สีจิ้งผิงได้กำจัดคู่แข่งคือพรรคการเมืองเก่าอย่างเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา ด้วยการดำเนินการปราบคอรัปชั่น นอกจากกำจัดคู่แข่งแล้วยังได้ใจจากประชาชนไปอีกด้วย
.
.
ใช้อำนาจคุมที่คุมสื่ออยู่ในมือให้เกิดประโยชน์ ทำ markting ที่ต่างจากผู้นำคนก่อนๆ โดยเลือกทำการ "วิจารณ์ตัวเอง" แนวๆ เวลาแถลงข่าวได้แถลงถึงความผิดพลาดของตนเองที่ผ่านมา แล้วตบท้ายด้วยทางแก้ปัญหา"
.
.
สีจิ้นผิงไม่ได้ขายฝัน แต่เค้าทำได้จริง สีจิ้นผิงสามารถทำให้จีนมีค่า GDPในปี 2019 ขึ้นเป็น 13.61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมในปี 2000 มีค่า GDP แค่ 1.211 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลจากธนาคารโลก)
.
.
กลยุทธ์ "สยบข่าวร้าย กระจายข่าวดี" ข่าวไหนร้าย หรือเพียงแค่เข้าข่ายซุบซิบนิทา (รวมถึงการแบนหมีพูห์ที่คนจีนใช้เรียกเวลาแอบนินทาสีจิ้นผิง) ทำให้ฐานแฟนคลับระดับรากหญ้าหลงรักสีจิ้งผิงเพราะได้ยินแต่ข่าวดีดี
.
.
หากมีข่าวร้ายเล็ดลอดคุณจะได้พบกับ "กองทัพพลังบวก" ของสีจิ้นผิง คือกระหน่ำปั่นข่าวดีของสีจิ้นผิงถล่ม "ข่าวร้ายให้ตายสนิท"
.
.
ทำ marketing research รวบรวมข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสียที่ประชาชนมองเห็น ความกังวลใจ ทำให้สามารถแก้ไขข้อด้อยและพัฒนาข้อดีได้อย่างทันท้วงที
.
.
การคุมคนหลายพันล้านคนต้องใช้เก่งมากๆแค่ไหน ก้ไม่ได้แปลว่าจะพอใจทุกคน มีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง
.
สีจิ้นผิงไม่ได้ทำการตลาดแค่ "ปลายทาง" (คือการเป็นผู้นำแล้วคุมสื่อให้พูดแต่ด้านดี) แต่สีจิ้งผิงยังทำการตลาดต้นทาง คือการไต่จากเจ้า "หน้าทีระดับเล็กๆ" มาจนเป็นผู้นำสูงสุดได้ฐานแฟนคลับจริงๆที่เคยสัมผัสการทำงานของสีจิ้นผิง ดังนั้นแล้วการตลาดที่มองการณ์ไกลของสีจิ้งผิงถือว่า "คุ้มค่ามากจริง"
.
.
และแล้วสีจิ้นผิงก็กลับมาใหญ่ด้วยลำแข้งของตัวเอง เติบโตในหน้าที่การงานจนมาเป็น "ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์"
.
.
ถ้ามองให้ดี สีจิ้นผิงเริ่มทำ "การตลาด" ให้กับตัวเองในเรื่องของ story telling ที่สามารถครองใจคนระดับรากหญ้าได้อย่างล้นหลาม (ตอนนั้นคนจีนค่อนข้างยากจน)
.
.
หลังจากขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด สีจิ้งผิงได้กำจัดคู่แข่งคือพรรคการเมืองเก่าอย่างเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา ด้วยการดำเนินการปราบคอรัปชั่น นอกจากกำจัดคู่แข่งแล้วยังได้ใจจากประชาชนไปอีกด้วย
.
.
ใช้อำนาจคุมที่คุมสื่ออยู่ในมือให้เกิดประโยชน์ ทำ markting ที่ต่างจากผู้นำคนก่อนๆ โดยเลือกทำการ "วิจารณ์ตัวเอง" แนวๆ เวลาแถลงข่าวได้แถลงถึงความผิดพลาดของตนเองที่ผ่านมา แล้วตบท้ายด้วยทางแก้ปัญหา"
.
.
สีจิ้นผิงไม่ได้ขายฝัน แต่เค้าทำได้จริง สีจิ้นผิงสามารถทำให้จีนมีค่า GDPในปี 2019 ขึ้นเป็น 13.61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมในปี 2000 มีค่า GDP แค่ 1.211 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ข้อมูลจากธนาคารโลก)
.
.
กลยุทธ์ "สยบข่าวร้าย กระจายข่าวดี" ข่าวไหนร้าย หรือเพียงแค่เข้าข่ายซุบซิบนิทา (รวมถึงการแบนหมีพูห์ที่คนจีนใช้เรียกเวลาแอบนินทาสีจิ้นผิง) ทำให้ฐานแฟนคลับระดับรากหญ้าหลงรักสีจิ้งผิงเพราะได้ยินแต่ข่าวดีดี
.
.
หากมีข่าวร้ายเล็ดลอดคุณจะได้พบกับ "กองทัพพลังบวก" ของสีจิ้นผิง คือกระหน่ำปั่นข่าวดีของสีจิ้นผิงถล่ม "ข่าวร้ายให้ตายสนิท"
.
.
ทำ marketing research รวบรวมข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสียที่ประชาชนมองเห็น ความกังวลใจ ทำให้สามารถแก้ไขข้อด้อยและพัฒนาข้อดีได้อย่างทันท้วงที
.
.
การคุมคนหลายพันล้านคนต้องใช้เก่งมากๆแค่ไหน ก้ไม่ได้แปลว่าจะพอใจทุกคน มีคนเห็นด้วยและเห็นต่าง
.
สีจิ้นผิงไม่ได้ทำการตลาดแค่ "ปลายทาง" (คือการเป็นผู้นำแล้วคุมสื่อให้พูดแต่ด้านดี) แต่สีจิ้งผิงยังทำการตลาดต้นทาง คือการไต่จากเจ้า "หน้าทีระดับเล็กๆ" มาจนเป็นผู้นำสูงสุดได้ฐานแฟนคลับจริงๆที่เคยสัมผัสการทำงานของสีจิ้นผิง ดังนั้นแล้วการตลาดที่มองการณ์ไกลของสีจิ้งผิงถือว่า "คุ้มค่ามากจริง"
ข้อมูลจาก หนังสือ China 5.0 และธนาคารโลก
.
รวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงโดย
แนนจากเพจเจาะจีน
.
รวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงโดย
แนนจากเพจเจาะจีน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น