ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มหาเศรษฐีหนุ่ม ระดับโลก เจ้าของแอพฯ "สแนปแชต"

02 พ.ย. 2558 เวลา 21:33:42 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คือคำอุทานเดียวเมื่อได้เห็นหน้าของสองหนุ่ม "อีวาน สปีเกล" วัย 25 ปี และ "บ็อบบี้ เมอร์ฟี่" วัย 27 ปี 

ทั้งคู่คือมหาเศรษฐีหนุ่มหน้าใสที่ติดอยู่ในลิสต์ 400 มหาเศรษฐีชาวอเมริกันของนิตยสารฟอร์บส ในปี 2015 

ทั้งสองหนุ่มเป็นเศรษฐีหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในลิสต์ของปีนี้ และถือว่าเด็กที่สุดในบรรดามหาเศรษฐีอเมริกันทั้ง 400 ราย

สปีเกล ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 327 ด้วยทรัพย์สมบัติมูลค่า 2,100 ล้านดอลลาร์ ส่วนเมอร์ฟี่ ถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 375 ด้วยทรัพย์สมบัติมูลค่า 1,800 ล้านดอลลาร์


น่าสนใจว่า คนหนุ่มวัย 25 และ 27 ปี รวยเพราะอะไร

เขาทั้งสองคือผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน "สแนปแชต" (Snapchat) ที่ใช้สำหรับการรับส่งภาพถ่ายหรือวิดีโอพร้อมข้อความ และรูปที่วาดด้วยแอพฯ ให้กลุ่มเพื่อนในลิสต์ของผู้ใช้งาน โดยความยาวของวีดีโอที่สามารถส่งได้เป็นวีดีโอสั้นๆ ความยาว 1-10 วินาที (ข้อมูลเมื่อเดือนกันยายน 2015) จึงถูกเรียกว่าการ "สแนปแชต" หรือสื่อสารกันแบบสั้นๆ  

จุดเด่นที่สุดของสแนปแชต คือการที่ผู้ใช้จะสามารถเลือกได้ว่าภาพและวีดีโอที่แชร์ไปจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหน ก่อนที่จะถูกลบทิ้งอย่างถาวรออกจากแอพฯ

Credit Photo : Lionel Bonaventure/AFP/Getty Images 
ที่มาของแอพฯ นี้เกิดจากไอเดียของสปีเกล มีทำโปรเจ็กต์ในระหว่างเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โดยมี เมอร์ฟี่เข้ามาเขียน code ให้ จนกระทั่งถูกพัฒนามาเป็นแอพ โดยแต่แรกใช้ชื่อว่า "พิกาบู" (Picaboo) หรือที่แปลว่า "จ๊ะเอ๋" โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน 2011 และใช้เวลาไม่นานก็เริ่มได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น 
สแนปแชต
ข้อมูลเมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ระบุว่า สแนปแชต มีผู้ใช้ส่งรูปและวีดีโอสูงถึง 700 ล้านชิ้นต่อวัน
ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วของสแนปแชต เดือนพฤศจิกายน 2013 เฟซบุ๊กยื่นข้อเสนอซื้อสแนปแชตเป็นเงิน 3,000 ล้านดอลลาร์ และ 1 วันถัดจากนั้น กูเกิลยื่นข้อเสนอซื้อสแนปแชตด้วยราคา 4,000 ล้านดอลลาร์ แต่สปีเกลก็ปฏิเสธข้อเสนอจากทั้งสองบริษัทยักษ์ใหญ่ไป

ล่าสุด เมื่อสิ้นเดือนกันยายน 2015 ซีเอ็นเอ็น มันนี่ ระบุว่า สแนปแชตมีมูลค่า 16,000 ล้านดอลลาร์

อนาคตยังอีกไกล สำหรับสองหนุ่มน้อย มหาเศรษฐีหน้าใหม่ใสปิ๊งของอเมริกัน! 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค