ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จดโน๊ตอย่างไรให้จำกันได้

  • (+ให้คะแนนบทความ)
    1
    2
    3
    4
    5
  • เปิดอ่าน 1,639 point ความคิดเห็น 0

มักพูดและแนะนำคนเสมอว่าการจดโน๊ตเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากมันช่วยทำให้เราเก็บไอเดียต่างๆ ไว้ได้ เช่นเดียวกับช่วยในการให้เราจดจำรายละเอียดต่างๆ ที่ถ้าหากเราเอาแต่จำเฉยๆ แล้วอาจจะหลงลืมกันได้ง่ายๆ
เรื่องของการจดโน๊ตนี้เองก็มีการศึกษากันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่เหมือนกัน อย่างในบล็อกของ Inc ที่อ่านมานั้นเล่าถึงกรณีที่นักวิทยาศาสตร์ของ Princeton University ทำการศึกษาพฤติกรรมการจดโน๊ตว่าการจดโน๊ตแบบไหนที่จะทำให้เกิดการจดจำได้มากที่สุด
สิ่งที่น่าสนใจจากการศึกษานั้นคือการจดโน๊ตที่กระดาษหรือสมุดจดนั้นจะทำให้ผู้จดสามารถจดจำไอเดียหรือแกนความคิดหลักได้มากกว่าคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจดโน๊ต (ซึ่งปัจจุบันเราเห็นหลายๆ คนทำอย่างนั้นกันเนื่องจากมีคอมพิวเตอร์ติดตัวกันเป็นเรื่องปกติ)

ในการสดทดสอบนั้น ทีมงานได้ให้นักเรียน 65 คนทำการดูวีดีโอ TED Talk โดยบางคนก็จะทำการจดโน๊ตโดยใช้สมุดปรกติ ในขณะที่บางคนใช้คอมพิวเตอร์ Laptop ในการจด
หลังจากนั้น 30 นาที พวกเขาก็จะถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับวีดีโอที่เพิ่งดูไป โดยมีคำถามสองชุด ชุดแรกคือการถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่อยู่ในวีดีโอ เช่นปีสำคัญของเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึง ส่วนคำถามประเภทที่สองคือคำถามเกี่ยวกับคอนเซปต์หรือไอเดียสำคัญ

สิ่งที่น่าสนใจคือคำถามประเภทแรกนั้น กลุ่มนักเรียนทั้งสองกลุ่มทำคะแนนได้เท่ากัน แต่คำถามประเภทที่สองนั้นกลับพบว่าคนที่ใช้การจดโน๊ตด้วยสมุดจดนั้นทำคะแนนได้ดีกว่า
ทีมวิจัยให้ความเห็นว่าการจดด้วยใช้กระดาษกับปากกานั้นอาจจะใช้กระบวนการคิดมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ เช่นการเลือกว่าข้อมูลไหนบ้างที่จะถูกบันทึกลงไป ซึ่งนั่นทำให้คนจดบันทึกสามารถจดจำและครุ่นคิดกับข้อมูลได้มากว่า ซึ่งต่างจากการใช้คอมพิวเตอร์ที่ดูจะเป็นการจดบันทึกในลักษระ Mindless Transciption (เช่นพิมพ์ตามคำพูด)
ก็ถือเป็นข้อมูลน่าสนใจสำหรับคนจดโน๊ตนะครับ ว่าจะลองเปลี่ยนวิธีการจดโน๊ตหรือไม่
ที่มา : nuttaputch.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค