**คลินิกเวชกรรมสุรัตน์ คลินิก 1 บาท**
**สุรัตน์ วงศ์ชาญศิลป์**
.... "โชคดีที่ผมเกิดมาในครอบครัวสัมมาทิฐิ คุณพ่อคุณแม่สอนให้ถือศีล 5 มาตั้งแต่เด็ก ผมเลยเป็นคนที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน ก็เลยไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร มีแค่นี้ก็รู้สึกว่า เราพอแล้ว ต่อให้เรารวยกว่านี้มันก็ใม่มีประโยชน์ ผมก็เอาเงินเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนอื่นถามว่าเรารวยไหม ผมว่าก็พอไปได้ แล้วเราก็เอาทรัพย์ที่ได้มาโดยสุจริตคืนให้กับคนยากจน เพราะเขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา”
.... หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ ‘คลินิกเวชกรรมสุรัตน์’ คลินิก 1 บาท ที่รับรักษาคนไข้โดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงแค่ 1 บาท ซึ่งเปิดให้บริการมากว่า 5 ปีแล้ว โดยได้รับการรับรองมาตรฐานการรักษาจากกระทรวงสาธารณสุข คลินิกแห่งนี้มีผู้ป่วยที่ยากไร้มาใช้บริการวันละไม่ต่ำกว่า 40-50 ราย รักษาคนไข้มาแล้วนับหมื่นๆคน แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาคนไข้แต่ละรายนั้นไม่ใช่น้อย ทั้งค่าหมอ ค่ายา ค่าอุปกรณ์การแพทย์ ค่าพนักงาน แต่ละเดือนคลินิกแห่งนี้จึงมีค่าใช้จ่ายเดือนละกว่า 2 แสนบาท
สุรัตน์ วงศ์ชาญศิลป์' ผู้ก่อตั้งคลินิกแห่งนี้เป็นใคร? และอะไรที่ทำให้เขาทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์มหาศาล เพื่อช่วยเหลือคนไข้ยากไร้ โดยไม่หวังอะไรตอบแทน?
**จากเด็กยากจนสู่เศรษฐีร้อยล้าน**
สุรัตน์เล่าย้อนถึงชีวิตในวัยเยาว์ให้ฟังว่า เขาเกิดในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน คุณพ่อเป็นพ่อค้าแผงลอย ด้วยความที่มีลูกถึง 6 คน จึงต้องหากินชนิดปากกัดตีนถีบ รับซ่อมรองเท้าและทำรองเท้าขาย หลังกลับจากโรงเรียนสุรัตน์ก็จะมาช่วยพ่อแม่ทำงาน ความขยันอดทนทำให้ครอบครัวของเขามีฐานะดีขึ้นตามลำดับ
แต่ถึงจะยากจนอย่างไร คุณแม่ก็ไม่เคยละเลยที่จะสอนให้ลูกๆยึดมั่นในการทำความดี โดยเฉพาะในเรื่องของความซื่อสัตย์และมีศีล 5 เป็นที่ตั้ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ชีวิตของเขาเจริญก้าวหน้า และเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว
สุรัตน์บอกว่า เขาเริ่มทำธุรกิจครั้งแรกตั้งแต่อายุได้เพียง 16 ปี และยังเรียนอยู่ชั้นมัธยม โดยเขาลงทุนจ้างโรงงานผลิตรองเท้าออกมาขายและทำตลาดด้วยตัวเอง แม้ธุรกิจจะล้มเหลวเพราะขาดประสบการณ์ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ กลับนำความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนในการทำธุรกิจครั้งต่อไป
ปัจจุบัน สุรัตน์ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบนักธุรกิจร้อยล้าน มีธุรกิจที่รับผิดชอบมากมาย ทั้งธุรกิจส่งออก มีอพาร์ทเม้นต์ให้เช่าถึง 9 แห่ง มีอาคารให้เช่าย่านถนนข้าวสารและซอยรามบุตรี 4 แห่ง มีกิจการเกสต์เฮาส์ รวมถึงโรงแรมโกลด์เด้น วิลล่า ชะอำ
“คุณแม่ผมสอนมาตั้งแต่เด็กว่า ให้เรารู้จักแบ่งปันให้คนที่ด้อยกว่าเรา แล้วก็ต้องมีความซื่อสัตย์ อย่าไปคดโกงใคร ซึ่งผมว่าตรงนี้มันทำให้ธุรกิจเราเจริญรุ่งเรือง ผมทำธุรกิจส่งออกเครื่องหนัง ส่งออกเป็นตู้คอนเทนเนอร์เลย ลูกค้าเชื่อใจเราก็เปิดแอลซี บางคนไม่ต้องเปิดแอลซี แต่เขาเชื่อใจเรา ขนเงินมามัดจำ เพราะเครดิตที่เราเป็นคนตรงไปตรงมา ลูกค้าก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วโชคดีที่ผมเกิดมาในครอบครัวสัมมาทิฐิ คุณพ่อคุณแม่สอนให้ถือศีล 5 มาตั้งแต่เด็ก ผมเลยเป็นคนที่ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เที่ยวกลางคืน ก็เลยไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร มีแค่นี้ก็รู้สึกว่า เราพอแล้ว ต่อให้เรารวยกว่านี้มันก็ใม่มีประโยชน์ ผมก็เอาเงินเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น
ถามว่าเรารวยไหม ผมว่าก็พอไปได้ แล้วเราก็เอาทรัพย์ที่ได้มาโดยสุจริตคืนให้กับคนยากจน เพราะเขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา” สุรัตน์เล่าถึงชีวิตในวัยเยาว์ซึ่งบ่มเพาะให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
**ถ้าแม่หายป่วย จะช่วยรักษาชาวบ้าน**
แต่การเปิดคลินิกรักษาฟรีให้แก่ผู้ป่วยที่ยากไร้ ไม่ได้มีแต่เสียงชื่นชมอย่างเดียว เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่ไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคำครหาว่าทำบุญเอาหน้า มองว่าต้องการสร้างฐานเสียงเพื่อเตรียมเล่นการเมือง ขณะที่บางคนถึงขั้นกล่าวหาว่า ทำคลินิกรักษาฟรี เพื่อฟอกเงิน!
ซึ่งในช่วงแรกก็ทำให้สุรัตน์รู้สึกท้อแท้อยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่ชอบศึกษาธรรมะ สุรัตน์จึงนำหลักธรรมคำสอนมาปรับใช้ ทำให้สามารถปล่อยวางกับคำติฉินนินทาเหล่านั้นได้
สุรัตน์บอกด้วยรอยยิ้มละไมว่า เหตุผลที่ทำให้เขาทุ่มเงินเดือนละหลายแสน เพื่อทำคลินิกรักษาฟรีว่า เนื่องจากเมื่อครั้งที่คุณแม่ป่วยหนักต้องเข้าห้องไอซียู เขาเคยอธิษฐานว่า หากคุณแม่หายป่วย เขาจะเปิดคลินิกรักษาผู้ป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
“ความคิดตรงนี้เกิดจากตอนที่คุณแม่ไม่สบาย เป็นโรคหัวใจ ต้องเข้าห้องไอซียู แล้วหมอบอกว่าโอกาสรอดมีแค่ 50% ด้วยความที่เป็นห่วงท่าน เราก็เลยบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าท่านหาย ออกจากห้องไอซียูได้ เราจะเปิดคลินิกรักษาคน ใครก็ได้ ทั้งที่เรารู้จักและไม่รู้จัก ฟรีหมด ตลอดชีวิตของเรา
ผมเองเป็นคนชอบทำบุญนะ แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดจะเปิดคลินิกช่วยเหลือผู้ป่วย เพราะผมไม่ได้เป็นหมอ ไม่รู้เลยว่าจะไปจ้างหมอที่ไหน แต่เมื่อตั้งใจแล้วเราก็ต้องทำให้ได้ ใครมาเราก็รักษาหมด คนที่ฐานะดีก็มารักษา บางคนขับรถเก๋งมาเลย
ตอนแรกเราก็รู้สึกเหมือนกันว่า เอ๊ะ ! เขามีเงินนี่ จะมารักษาฟรีทำไม คิดแล้วก็ไม่สบายใจ ผมก็ปรึกษากับภรรยาและลูกๆว่า เอายังไงดี ก็ได้ข้อสรุปว่า คนที่เขามารักษาที่นี่ เขาคงต้องมีความทุกข์จริงๆ ไม่งั้นเขาคงไม่มาเสียเวลาเข้าคิวรอหรอก บางคนอาจจะมีเงินเดือน 3-4 หมื่น แต่เขาอาจจะจำเป็นต้องเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมลูก เก็บเงินส่งให้พ่อแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด หรือคนที่เป็นเจ้าของกิจการ ช่วงนั้นเขาอาจจะกำลังช็อตเงิน แล้วเราทำไมต้องไปปิดกั้นเขา ก็คิดใหม่ว่าทำบุญกับใครก็ได้บุญเหมือนกันหมด เราก็สบายใจ” สุรัตน์กล่าวยิ้มๆ
**เปิดคลินิกรักษากาย เปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมรักษาใจ**
ปัจจุบัน คลินิกเวชกรรมสุรัตน์ แบ่งการรักษาออกเป็น 2 ส่วน คือ คลินิกเวชกรรมสุรัตน์ ซึ่งให้การรักษาโรคทั่วไป ทั้งโรคที่เกี่ยวกับหู ตา คอ จมูก เบาหวาน ความดัน เย็บแผล ให้ออกซิเจน ฯลฯ และคลินิกแพทย์ทางเลือกสุรัตน์คลินิก ซึ่งให้การรักษาผู้ป่วยที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต และหมอนรองกระดูกทับเส้น โดยใช้วิธีแบบแบบแพทย์แผนไทย เนื่องจากผู้ป่วยบางรายไม่ต้องการผ่าตัดตามแบบแพทย์แผนปัจจุบัน
ในแต่ละวันจะมีคนไข้มาใช้บริการในส่วนของคลินิกเวชกรรมไม่ต่ำกว่า 40-50 ราย ขณะที่คลินิกแพทย์ทางเลือกสุรัตน์คลินิก ซึ่งให้การรักษาผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ตอนนี้มีผู้ป่วยจองคิวอยู่ถึง 200 กว่าคน
หากวันไหนสุรัตน์มีเวลาว่าง ก็จะเข้าไปช่วยพยาบาลวัดไข้ ตรวจความดัน ชั่งน้ำหนัก ทำประวัติคนไข้ และสอบถามถึงการรักษาที่ผ่านมาว่าได้ผลอย่างไร รวมถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการกินยา การทานอาหาร การออกกำลังกายให้ถูกวิธี
นอกจากนั้น บางครั้งเขายังแนะนำธรรมะให้กับคนไข้ที่มีปัญหาเครียดจากอาการป่วยหรือมีปัญหาชีวิตครอบครัวด้วย
“ต้องยอมรับว่า ค่าใช้ตรงนี้ค่อนข้างสูง อย่างคุณหมอที่รักษาอัมพฤกษ์อัมพาต เขารักษาอยู่ที่โคราช คนไข้ของเขาเยอะมาก เราจะเอาเขามารักษาที่นี่ก็ต้องให้ค่าแรงเขาแพง แพงกว่าหมอแผนปัจจุบันอีกนะ แล้วเราให้ค่าแรงเป็นรายหัว คือถ้ามีคนไข้เยอะ คุณหมอก็ยิ่งได้ค่าแรงเยอะ แล้วค่าใช้จ่ายตรงนี้มันกำหนดไม่ได้
คนไข้บางรายเราสงสารเขา เราก็อยากจะรักษาให้ถึงที่สุด ยกตัวอย่างมีอยู่รายหนึ่งเป็นคนต่างด้าว ได้ค่าแรงจากการล้างรถแท็กซี่แค่วันละ 30 บาท มือข้างซ้ายพิการ มือข้างขวาเป็นฝี ต้องผ่าตัด ซึ่งคลินิกเรารักษาไม่ได้ ก็ต้องส่งเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลวชิระ หมดค่ารักษาไป 2 หมื่นกว่าบาท พอรักษาหายก็เลยรับเขาเข้ามาทำงานด้วย ก็ถือว่าเราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน” สุรัตน์เล่าด้วยความอิ่มเอมใจ
นอกจากจะเปิดคลินิกรักษาฟรีแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมาสุรัตน์ยังเปิดสถานปฏิบัติธรรม ‘สุรัตนธรรม’ ซึ่งจัดปฏิบัติธรรมฟรีทุกเสาร์-อาทิตย์ โดยเชิญพระอาจารย์จากวัดต่างๆมาแสดงธรรม มีการสวดมนต์ นั่งสมาธิ อีกทั้งยังเลี้ยงอาหารผู้ที่มาร่วมปฏิบัติธรรมด้วย
และในแต่ละปีสุรัตน์ก็จะจัดงานบรรยายธรรมครั้งใหญ่ ซึ่งมีผู้เข้าฟังได้ถึง 6,000 คน โดยเชิญพระอาจารย์สายวิปัสสนาหลายท่านที่มีความรู้เรื่องธรรมะอย่างลึกซึ้ง มาร่วมบรรยายธรรม รวมทั้งมีการไถ่ชีวิตโค-กระบือ แล้วนำมาถวายเข้าโครงการของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อีกด้วย
**ได้ความปีติใจ เป็นกำไรตอบแทน**
สิ่งที่หล่อเลี้ยงให้คลินิกเวชกรรมสุรัตน์เปิดดำเนินการมาตลอด และจะเปิดดำเนินการต่อไป นอกเหนือจากกำลังใจจากผู้คนมากมาย ที่เข้ามาใช้บริการในแต่ละวันแล้ว ก็คือความสุขจากการได้เห็นเพื่อนมนุษย์มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่แข็งแรง อันเป็นพรอันประเสริฐ ตามแนวพระพุทธพจน์ที่ว่า "อโรคยา ปรมา ลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ"
โดยนโยบายสำคัญประการหนึ่งที่สุรัตน์ให้ไว้กับแพทย์และเจ้าหน้าที่ประจำสุรัตน์คลินิกทุกคนก็คือ ต้องปฏิบัติต่อคนไข้ทุกคนด้วยความเมตตา ไม่ว่าคนไข้ที่มารับการรักษาเหล่านั้นจะยากดีมีจนอย่างไร และถือว่าทุกคนที่มาทำงานที่คลินิกแห่งนี้นั้น นอกจากจะมีรายได้แล้วก็ยังได้ทำบุญร่วมกัน
จากการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ ตลอดจนถึงทุนทรัพย์ปีละหลายล้านบาท ทำให้หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า สุรัตน์ได้อะไรจากการเปิดศูนย์ปฏิบัติธรรมและเปิดคลินิกรักษาฟรี ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสุรัตน์ไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“มีคนถามผมเยอะนะว่า ทำแล้วได้อะไร ผมว่าสิ่งที่ผมได้มากที่สุดคือความปีติใจ ทุกครั้งที่เราได้เห็นคนที่เราช่วยเหลือเขา มีความสุขขึ้น มันรู้สึกอิ่มใจนะครับ บางคนที่เรารักษาไปเขาก็กลับมาหา เอาขนมเล็กๆน้อยๆมาฝาก บางคนบอกว่ามาหลายหนแล้วไม่เคยเจอผมเลย อยากจะมาขอบคุณผมที่ช่วยให้เขาหายจากความเจ็บป่วย
สิ่งเหล่านี้มันทำให้เรามีความสุข คือความสุขของคนเรามันไม่เหมือนกันนะ บางคนชอบกินอาหารหรูๆ บางคนชอบไปเที่ยวต่างประเทศ บางคนชอบรถรุ่นใหม่ๆ ก็เปลี่ยนรถอยู่นั่นแหละ บางคนมีบ้านใหญ่โตแล้วก็อยากได้ที่มันใหญ่กว่าเดิม แต่สำหรับผม ที่มีอยู่มันพอแล้ว เราก็อยากแบ่งปันให้คนอื่น ช่วยให้เขามีความสุขทางกายและความสุขทางใจ ทางกายก็คือการเปิดคลินิกรักษาฟรี ส่วนทางใจก็คือการเปิดศูนย์ปฏิบัติธรรม
ปัจจุบัน กิจการของเราก็ถือว่าเยอะนะ แต่เดือนๆหนึ่ง รายได้ของเราส่วนใหญ่เอามาทำบุญทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำคลินิกรักษาฟรี ให้ทุนการศึกษา แจกข้าวสาร จัดปฏิบัติธรรมทุกเสาร์-อาทิตย์ จัดงานบรรยายธรรมประจำปี อย่างอาคารปฏิบัติธรรมเนี่ยมีคนจะเช่าเดือนละ 3-4 แสน แต่ผมมองว่าผมพอแล้ว เอามาใช้เป็นสถานปฏิบัติธรรมมีประโยชน์กว่า
แล้วตัวผมเองปกติก็ไม่ได้ใช้เงินอะไรมากมาย ผมไม่ชอบเที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ได้ใช้ของอะไรฟุ่มเฟือย ผมถือศีล 5 เป็นปกติ ใน 1 สัปดาห์ผมจะกินมังสวิรัติ 3 วัน แล้วทุกเดือนผมกับภรรยาก็จะไปรักษาศีล 8 ที่วัดมเหยงคณ์ เราไปลดอัตตาของตัวเอง เพราะทรัพย์สินเงินทองมันยึดตัวตนของเราไว้ว่า ตัวกูของกู บ้านกู รถกู พอเราละได้ว่า ของพวกนี้มันก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เราก็มีความสุข” สุรัตน์กล่าวตบท้ายด้วยประกายตาแห่งความสุข
**คลินิกเวชกรรมสุรัตน์**
เลขที่ 98 ถ.รามบุตรี ตรงข้ามโรงแรมเวียงใต้ บางลำพู แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 08-7082-9707, 08-7082-9708, 0-2282-5541, 0-2387-2093, 0-2542-2750, 0-2734-2071
**เวลาให้บริการ**
วันจันทร์ อังคาร พฤหัสบดี ศุกร์ เวลา 17.00 - 21.00 น. และเสาร์- อาทิตย์ เวลา 09.00 - 13.00 น. (หยุดทุกวันพุธและวันนักขัตฤกษ์)
**ศูนย์ปฏิบัติธรรม ‘สุรัตนธรรม**
อาคารปฏิบัติธรรม เลขที่ 107-119 ถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0-2282-5541 (ตรงข้ามกับร้านสหกรณ์กรุงเทพ บางลำพู)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 154 ตุลาคม 2556 โดย กฤตสอร)
(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 154 ตุลาคม 2556 โดย กฤตสอร)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น