ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พาทัวร์ Facebook HQ

พาทัวร์  HQ พร้อมสัมภาษณ์คนไทยที่ทำงาน ณ Silicon Valley
Facebook อีกบริษัทที่หลายๆคนไอทีอยากจะเข้าไปทำงาน สัมผัสประสบการณ์การทำงานเบื้องหลังที่มาของเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ ที่สุดในโลกตอนนี้ ปัจจุบันสำนักงานใหญ่ของ Facebook มีจำนวนพนักงานราว 7,200 คน1 แบ่งเป็นพนักงานทั่วไป และบุคลากรสายเทค ซึ่งเปิดรับคนจากทั่วโลก ไม่ได้จำกัดแค่ชนชาติตะวันตกเท่านั้น และในบุคลากรสายเทคนี้คิดเป็นคนเอเชียราว 41%2 และรู้หรือไม่ว่ามีคนไทยรวมอยู่ในนี้ด้วย
เมื่อตอนที่ไปอเมริกาเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปคุยกับคนไทยคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ที่ Facebook ซึ่งเค้าจะมาเล่าประสบการณ์การทำงานในบริษัทในฝันของใครหลายๆคนให้เราฟังกัน ครับ
แนะนำตัวหน่อย เป็นใครจบจากที่ไหน ทำอะไรก่อนมาทำที่ Facebook บ้าง
ผมชื่อ โต้ ธาวัน คูบุรัตถ์ เรียนจบ ป.ตรี,โท จากวิศวะกรรมคอมพิวเตอร์จุฬา พอจบแล้วก็ทำงานเป็น Consultant ให้กับ Accenture อยู่หนี่งปีก่อนออกมาเรียนต่อโท Computer Science ในอเมริกาที่ University of Wisconsin - Madison ด้วยทุนของตัวเอง ระหว่างเรียนอยู่ได้ฝึกงานกับ Facebook แล้วก็ได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงานต่อตอนฝึกงานจบ ก็เลยได้อยู่กับ Facebook ตั้งแต่นั้นมาจนตอนนี้ก็ทำมาได้ 2 ปีครึ่งแล้ว  
 ตำแหน่งตอนนี้ที่ทำอยู่ที่ Facebook คืออะไร และ scope งานดูแลส่วนไหน
เป็น Software Engineer อยู่ในแผนก Service Infrastructure ซึ่งมีหน้าที่สร้างและดูแลระบบส่วนกลางที่ใช้รองรับระบบหลังบ้านอื่นๆใน Facebook 
ก่อนอื่นต้องเริ่มจากอธิบายระบบของ Facebook นั้นถ้าจะอธิบายอย่างคร่าวๆ ก็จะประกอบด้วยตัวหน้าเว็บซึ่งทำหน้าที่แสดงผล โดยจะดึงข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือถ้าเป็นข้อมูลที่ซับซ้อนก็จะมีระบบอื่นหลังบ้านทำหน้าช่วยประมวณผล เช่น New Feed, Graph Search เป็นต้น 
เนื่องจาก Facebook มีจำนวนผู้ใช้ที่สูงมาก ระบบหลังบ้านก็ต้องมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย ทำให้ระบบเหล่านี้ต้องเจอกับปัญหาในการจัดการและดูแลคล้ายกัน ทีมผมจึงมีหน้าที่สร้างและดูแลเครื่องมือที่ทำให้พนักงานคนอื่นๆ สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาเหล่านี้ ทำให้พวกเขาไม่ต้องแก้ปัญหาเดิมๆซ้ำๆกัน จะได้มีเวลาไปใช้ในการสร้างสิ่งใหม่ๆให้กับ Facebook แทน
ถ้าเป็นองค์กรทั่วไปๆก็คงคล้ายๆกับแผนก IT ที่คอยดูแลระบบส่วนกลางเช่นพวก email เป็นต้น เพียงแต่ที่นี่ทีมผมจะเน้นไปที่การมองหาว่าอะไรคือปัญหาที่พบบ่อยแล้วจึง สร้างระบบใหม่ๆขึ้นมาแก้ปัญหาเหล่านั้น แทนการซื้อระบบจากข้างนอกเข้ามาใช้
<ระบบหลังบ้านที่รองรับผู้ใช้ที่มากมายของ facebook>
สมัครที่อื่นที่ไหนไปบ้างและทำไมถึงเลือก Facebook
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าจริงๆแล้วตั้งใจจะมาเรียน ป.โท-เอก ที่นี่ แต่ช่วงเรียนอยู่อยากออกมาฝึกงานเอาประสบการณ์และเงินรายได้เสริม เลยสมัครไปที่ใหญ่ทั้งหมด เช่น Microsoft, Google และ Facebook แต่มีแค่ที่ Facebook เท่านั้นที่รับเข้าฝึกงาน  อาจารย์ที่ปรึกษาเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะอยากให้เราฝึกงานกับบริษัทที่ทำงานด้านวิจัยมากกว่าเพื่อประโยชน์กับ การศึกษาของเรา แต่พอได้เข้าฝึกงานจริงก็รู้สึกสนุกกับงานมาก ได้ทำงานกับระบบใหญ่ๆ ได้สร้างสิ่งที่เขาเอาไปใช้งานจริง มีเพื่อนร่วมงานที่รักในการทำงาน และวัฒนธรรมองค์กรที่น่าประทับใจ  พอได้รับข้อเสนอให้เป็นพนักงานตอนฝึกงานเสร็จ เลยคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาและคนอื่นๆ บวกกับตอนนั้น Facebook กำลังจะเข้าตลาดหุ้น เลยทำให้ตัดสินใจออกจากโปรแกรมที่เรียนอยู่กลางคันด้วยวุฒิ ป.โท แล้วออกมาทำงานเลย 
 แล้วเข้ามาแล้ว Facebook มันเจ๋งอย่างที่คิดเอาไว้มั้ย?
ตื่นเต้นมากเพราะรู้สึกว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเต็มไปหมด มีโรงอาหารบริการข้าวสามมื้อ เมนูอาหารเปลี่ยนไปในแต่ละวัน มีน้ำและขนมให้หยิบกินตลอดทั้งวัน (แค่นี้ก็ได้ใจไปกว่าครึ่งแล้วเพราะตอนเรียนป.เอก แค่จะได้กินของฟรีก็ต่อคิวยาวหรือรีบวิ่งไปเอาก่อนของหมด) นอกจากนี้ก็มีบริการร้านตัดผม ร้านซักผ้า มีบริเวณพักผ่อนที่มีทีวีและเครื่องเกมให้เล่น  
<ที่จอดรถพลังงานไฟฟ้า, ห้องเล่นเกมตู้, valet parking ให้พนักงาน, บริการซักอบรีด>
ตัวผมเองได้มีอุปกรณ์ส่วนตัวที่เป็นผลิตภัณฑ์ของ Apple ใช้เป็นครั้งแรก พวก MacBook หรือ iPhone ก็ตอนมาเข้าฝึกงานที่บริษัทนี่แหละ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเขาลงทุนกับพนักงานของเขามาก เพราะสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้มีไว้เพื่อให้พนักงานไม่ต้องเสียเวลา ไปกับการเดินทางไปทำธุรข้างนอก แล้วจะได้เอาเวลามาให้กับบริษัทแทน แม้แต่ตอนที่เข้ามาฝึกงานก็ให้ความรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติเหมือน พนักงานทั่วไป แถมดูแลดีกว่าอีกด้วยซ้ำเพราะเขาจัดหาที่พักใ้ห้ มีกิจกรรมให้ทำ เช่น ให้ไป BBQ Party ที่บ้านใหม่ของมาร์ค เป็นต้น 
ตอนที่ไป Party ที่บ้านมาร์ค เขาห้ามขอถ่ายรูปกับมาร์ค เลยไปขอถ่ายรูปกับหมาของมาร์คที่ชื่อว่า Beast แทน (ใน Facebook's Messenger จะมีชุด sticker ของ Beast อยู่ด้วย)
ตัวพนักงานเองก็มีอิสระค่อนข้างมากในการทำงาน การจะสร้างสิ่งใหม่ๆขึ้นมาก็ไม่จำเป็นต้องรอความเห็นจากผู้บริหารหรือคนแผนก อื่น ถ้าต้องการขอ Server มาใช้งานก็ทำได้เองทันทีหากจำนวนเครื่องที่ต้องใช้ไม่เยอะมาก เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ค่อยมี Process มาค่อยขัดขวางการทำงานของเรา
 พูดถึง Mark Zuckerburg ซักนิดนึง
<ภาพตอนที่มาร์คเข้าพบบารัค โอบามาเพื่อรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน : wikipedia>
มาร์คเป็นคนค่อนข้างติดดินมากๆ โต๊ะทำงานก็เป็นแบบเดียวกับที่พนักงานทั่วไปใช้ นั่งรวมกับทุกคนรวมทั้งผู้บริหารอื่นๆไม่ได้มีห้องทำงานส่วนตัวแยกออกไป รถที่ใช้ก็ไม่ได้เป็นรถ sport สวยๆหรือนับว่าเป็นรถหรูด้วยซ้ำ แม้ว่าจะเป็นหลังบริษัทเข้าตลาดหุ้นแล้วก็ตาม เคยได้ยินว่าเมื่อก่อนก็อยู่ apartment โทรมๆจนแผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทมาขอให้ย้ายไปอยู่ที่ๆดีขึ้นเพื่อ เพิ่มความปลอดภัย  
เรื่องตลกที่มักเล่ากันแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็คือ เคยมีครั้งหนึ่งที่เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นในบริษัทแล้วมาร์คต้องการส่ง memo ถึงทุกคนเพื่อพูดถึงเรื่องนี้  แต่ใน email ที่มาร์คส่งนั้นดันใช้หัวข้อจดหมายว่า "Please leave" (กรุณาลาออก) ตอนนั้นทำให้หลายคนในบริษัทตกใจ บางคนที่อ่านแค่หัวจดหมายแถบจะนึกว่าตัวเองถูกไล่ออกจริงๆ แล้วก็เริ่มเตรียมเก็บของกันเลยทีเดียว
(เมื่อตอนที่ไปเดินเล่นใน Facebook ก็เจอมาร์คซัคเขานั่งอยู่ในห้องประชุมกระจก มองเห็นได้ง่ายๆ พอประชุมเสร็จก็เห็นมานั่งตรงโซฟา เรียกว่าเข้าถึงตัวได้ง่ายมากจริงๆ )
จุดเด่นของออฟฟิศ Facebook เมื่อเทียบกับ Office บริษัทอื่นๆใน Silicon Valley?
 
<Menlo Park Campus - ปัจจุบันเป็น HQ ของ Facebook ซึ่งเดิมเคยเป็นของ Sun Microsystem มาก่อน> 
 
<ภาพจาก Hacker square  ซึ่งเป็นลานกว้างกลาง Campus>
ตัว Office ของ Tech Company ในแถบนี้จะคล้ายๆกันแง่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่พูดถึงแต่จะมีแตกต่างกัน ไปในรายละเอียด เช่น Google อาจจะมีสระว่ายน้ำ Facebook มีหน้าผาจำลองให้ปีน Twitter มีเบียร์ให้กินตอนกลางวัน ส่วนใหญ่พนักงานจะมีส่วนช่วยในการเสนอว่าอยากให้มีอะไรเข้ามาเปิดให้บริการ ในบริเวณของบริษัท
 
 
<Micro kitchen - เป็นที่นั่งพักมีของกินต่างๆให้เลือก หรือทำเองก็ได้ เช่น กาแฟ หรือ Cereal>
 
<IT service desk - พนักงานสามารถเอาอุปกรณ์ IT ต่างๆไปซ่อม หรือจะเบิกอุปกรณ์ต่างๆด้วยตนเองจาก Vending machine ก็ได้>  
 
<The Rock - หน้าผาจำลอง ของเล่นใหม่ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาปีนี้>
แต่อีกสิ่งที่จะแต่งต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือ Theme ของ office ซึ่งจะแฝงค่านิยมขององค์กรไว้ อย่างของ Facebook เอง การตกแต่งจะใช้ Theme ที่เรียกว่า "Unfinished" หลังคาจะไม่มีฝ้าทำให้เห็นท่อแอร์และสายไฟ ตัวพี้นหรือผนั้งจะทาสีง่ายๆหรือเป็นปูนเปลือย ไม่แน่จะว่าเกี่ยวกับ slogan อีกอันที่มักใช้กันบ่อยในบริษัท  คือ This journey is 1% finished หรือเพราะ office สมัยแรกๆเกิดจากการเช่าโรงงานมาทำเป็นสำนักงาน แม้แต่ office ที่เมืองอื่นที่ไปอาศัยเช่าอาคารอื่นก็ยังคงตกแต่งแบบเดียวกัน
 
<unfinished จริงๆ ขนาดป้ายบริษัทเมื่อไปดูด้านหลังยังเป็นของ Sun microsystems อยู่เลย>
อีกส่วนหนึ่งของ Theme ก็จะเป็นการวางโต๊ะทำงานที่จะอยู่ติดๆกันและไม่มีฉากกั้น หรือที่เรียกว่า Cubicle ซึ่งทำให้พนักงานสามารถคุยงานกันสะดวก บางครั้งเราจะได้ยินเพื่อนร่วมงานคุยงานกันใกล้ๆ แต่แล้วเราก็สามารถเข้าไปร่วมให้ความเห็นได้ด้วยซ้ำโดยไม่ได้รู้สึกว่าเป็น การกระทำที่ไม่เหมาะสม ส่วนการคุยธุระส่วนตัวก็เพียงแต่เดินไปหาห้องประชุมหรือที่ว่างใกล้ๆแทน
 ความแตกต่างของชีวิต Developer/Programmer ที่ US vs THA
ตอนอยู่ไทยก็ทำกับบริษัทที่มาจากเมืองนอกเลยทำให้มีบางอย่างที่คล้ายกับ ที่นี่ แต่ข้อหนึ่งที่รู้สึกว่าแตกต่างจนเห็นได้ชัดเจนก็คือคนที่นี่ เวลางานแล้วจะจริงจังกับงาน ขณะเดียวกันก็จะเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ (Passionate) ซึ่งจะทำให้ได้ผลของงานที่ดี ในขณะที่เมืองไทยพนักงานไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ทำให้ไม่ได้ทำในสื่งที่ตัวเองถนัดหรือชอบ แล้วส่งผลให้บางครั้งสภาพแวดล้อมการทำงานและผลของงานด้อยลงไป ที่นี่หัวหน้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หากเราไม่สนุกกันงานแล้วก็สามารถขอย้ายงานได้จากหัวหน้าได้ไม่ยากนัก  
อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ที่ Facebook คือการที่พนักงานทั่วไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจค่อนข้างมาก ผู้บริหารหรือหัวหน้าจะมีหน้าที่ตั้งกรอบหรือเป้าหมายที่ควรทำ แต่ในขณะเดียวกันก็จะเคารพการตัดสินใจด้านเทคนิคจาก Engineer เพราะเขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นรู้รายละเอียดมากกว่าคนระดับสูงขึ้นไป 
หลายครั้งงานต่างๆที่เกิดขึ้นก็สืบเนื่องจาก Engineer รู้สึกว่ามีปัญหาที่ควรจะต้องแก้ไขอยู่แล้วสามารถคุยกับหัวหน้าจนเห็นตรงกัน และพัฒนาจนกลายเป็นการสร้างสิ่งใหม่เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น
 จะกลับไทยมั้ย? ถ้ากลับไทยมาอยากทำอะไร?
คิดว่าอยากจะกลับถ้ามีโอกาสที่เหมาะสม อยากเอาความรู้และประสบการณ์ที่เราได้จากการทำงานกับ Internet Company ขนาดใหญ่ไปใช้ในไทย เพราะรู้สึกว่ากระบวนการและแนวคิดมันสามารถนำไปประยุกต์ใช้และพัฒนางานต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นระบบที่ใหญ่โตเหมือนอย่าง Facebook อีกส่วนหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากทำให้ในไทยมีที่ๆทำงานดีๆและสนุกเหมือนอย่าง Facebook คนที่จบและชอบทำงานสายคอมพิวเตอร์จะได้มีที่ทำงานอยู่ในสายของตัวเองโดยไม่ ต้องย้ายไปทำงานสายอื่น  หรือต้องออกมาอยู่ต่างประเทศเพียงเพราะไม่มีสามารถหาความก้าวหน้าได้จากการ ทำงานในประเทศ พวกบริษัท Tech company ที่นี่มักจะมี career path ที่ทำให้โปรแกรมเมอร์สามารถโตในสายงานตัวเองไปเทียบเท่ากับ VP (Vice President) ได้โดยที่ไม่ต้องผันตัวไปเป็นผู้บริหาร 
 พูดถึงวัฒนธรรมขององค์กรของ Facebook ที่น่าสนใจ และน่านำเอาไปปรับใช้ที่ประเทศไทย
<Poster ที่เห็นได้ทั่วไปในบริเวณของบริษัท ซึ่งแสดงทัศนคติการทำงาน>
อย่างแรกต้องดูจาก Value หลักก็คือ Move Fast and Be Bold
Move Fast คือการบอกว่าเราจะเลือกที่จะนำเสนอสิ่งต่างๆออกให้เร็ว แทนที่จะรอจนเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้วค่อยปล่อยของออกมาให้คนใช้ หรือการที่จะเลือกลด process หรืออำนวยความสะดวกต่างๆ ในองค์กรเพื่อให้คนสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ออกมาได้ง่าย ซึ่งจะคู่กับ Be Bold เพื่อจะต้องการบอกให้คนกล้าที่จะเสี่ยงเพื่อนำเสนอสิ่งใหม่ แม้ว่าอาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็ตาม แม้จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นก็จะไม่มีการชี้ไปที่ตัวบุคคล แต่จะมองว่าเป็นความผิดของระบบหรือกระบวณการทำงานซึ่งจะต้องมีการวิเคราะห์ และแก้ไขกันต่อไป  ตอนสมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ Value เดิมจะเป็น Move Fast and Break Things แต่คนกลับคิดว่าควรจะต้องทำของพังจริงๆ
ตัวอย่างง่ายของการทำตามแนวคิดนี้ก็คือหน้าเว็บของ Facebook ซึ่งจะมีการออกเวอร์ชั่นใหม่ถึงวันละสองครั้ง ทำให้เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้รวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันก็จะนำมาซึ่งความเสี่ยงที่จะทำให้ระบบพังบ่อยขึ้นเช่นกัน หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้น แต่เราก็เลือกที่จะสร้างสิ่งอื่นๆที่จะช่วยป้องกันหรือแก้ไข้ข้อผิดพลาดให้ ได้อย่างรวดเร็ว แทนจะเลือกลดความเสี่ยงโดยการไม่ทำอะไรเลยหรือทำช้าๆแทน
Be Open ก็เป็นอีกหนึ่ง Value ที่สำคัญ เราเลือกที่จะให้พนักงานรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในองค์กรเท่าๆกัน ทั้งนี้เพื่อให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วมและเข้าใจภาพรวมที่กำลังเกิดขึ้นใน บริษัท และนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำงานของแต่ละคน พูดง่ายๆคือภายในไม่ค่อยมีโครงการลับที่ไม่มีคนรู้ ทำให้แต่ละทีมสามารถตัดสินใจเรื่องแผนระยะยาวได้และเข้ากับทิศทางของบริษัท ขณะเดียวกันพนักงานก็จะมีความรู้สึกว่ามีส่วนร่วมกับสิ่งต่างๆที่กำลังเกิด ขึ้นภายในเช่นกัน แต่สิ่งนี้ก็แลกมากับการที่อาจจะมีความลับของบริษัทหลุดเป็นบางครั้ง ซึ่งเราก็เลือกที่จะยึดแนวคิดนี้ เพราะโดยรวมแล้วมันส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้รู้สึกว่าชอบทั้งหมด แต่ถ้าต้องให้เลือกสิ่งที่สำคัญ ก็คือการที่ทุกครั้งเมื่อมีข้อผิดพลาดแล้วไม่กล่าวโทษตัวบุคคล ในขณะเดียวกันก็ร่วมมือกันวิเครา์ะห์หาสาเหตุแล้วพัฒนาเพื่อไม่ให้ผิดพลาด ซ้ำซ้อน หากทำได้แค่นี้แล้วอย่างน้อยเราก็ไม่อยู่กับที่แล้วมีการก้าวหน้าตลอดเวลา
 Silicon Valley เป็นสวรรค์ของเหล่า Geek จริงมั้ย?
ชอบที่เขาให้ความสำคัญกับ Engineer มองว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ถ้าพูดติดตลกก็จะบอกว่าเป็นเหมือน hot chick (สาวๆที่เป็นที่ต้องการของหนุ่มๆ) ของเหล่าบรรดาบริษัทต่างๆ จะมีฝ่าย HR ของบริษัทอื่นๆส่งจดหมายมาหาอยู่เรื่อยๆ เราสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนงานได้ไม่ยากนักและมีโอกาสใหม่ๆเข้่ามาโดยตลอด
แบบจริงจังหน่อยก็จะบอกว่าถ้าชอบที่จะทำงานด้านนี้ก็จะยิ่งสนุกกับงาน เพราะก็จะมีเพื่อนร่วมงานเก่งๆ มีงานที่หน้าตื่นเต้นและหน้าสนใจให้ทำตลอดเวลา สถานะทางสังคมและรายได้ก็จะอยู่ในระดับที่ เรียกได้ว่าเป็นที่อิจฉาของคนทั่วๆไปเลยทีเดียว 
 เวลาสมัครเข้ามาทำงานที่ Facebook เค้าดูจากอะไรบ้าง
ความสามารถเป็นหลักแต่ภาษาก็ต้องอยู่ในระดับที่สื่อสารได้โดยไม่เป็น อุปสรรค ที่เหลือคือการหาโอกาสและช่องทางที่จะทำให้คนที่นี่ยอมรับและมองเห็น 
ยกตัวอย่างเพื่อนคนนึงที่มากจากรัสเซีย เขาเล่าว่าเขาเป็น expert ด้าน JavaScript และมีบล๊อกส่วนตัวที่เข้าเขียนเกี่ยวกับงานที่เขาทำ เข้าใจว่าคนใน Facebook ไปอ่านเจอแล้วถูกใจเลยทดลองเรียกมาสัมภาษณ์จนสุดท้ายได้ก็ข้อเสนอให้มาทำงาน ในอเมริกาแล้ว Facebook ก็จัดการเรื่อง visa และอื่นๆให้ 
 ถ้าเกิดว่ามีน้องๆอยากไปทำงานที่ Facebook บ้าง เค้าต้องทำยังไง
สมัยตอนที่ผมออกมาอเมริกา ช่วงนั้นโอกาสที่เด็กที่เรียนในไทยจะได้รับเข้าทำงานหรือฝึกงานโดยบริษัท เมืองนอกนั้นยากมากหรือแทบไม่มีเลย คนที่ได้ทำงานที่นี่มักจะเริ่มจากมาเรียนต่อเมืองนอกก่อน ถ้าได้มหาลัยดีๆบริษัทใหญ่ๆก็จะเข้าสอบสัมภาษณ์ถึงที่มหาลัย พอได้ฝึกงานแล้วโอกาสที่จะได้รับเข้าทำงานตอนเรียนจบก็จะตามมาถ้าเราทำได้ ดี 
แต่เดี๋ยวนี้เข้าใจว่าเด็กรุ่นใหม่มีช่องทางอื่นๆให้เลือกอีกมาก เช่น การประกวด software หรือแข่งขันเขียนโปรแกรมในรายการระดับโลก บางรายการที่เป็นที่ยอมรับหรือบริษัทใหญ่ๆเป็น sponsor เราก็มีโอกาสจะถูกเรียกสัมภาษณ์ถ้าได้เข้ารอบลึกๆ 
เดี่ยวนี้โลกเปิดกว้างถ้าเรามีความเชี่ยวชาญและมีคนยอมรับ โอกาสก็จะเข้ามาหาเราเอง
 ภาพบางส่วนเพิ่มเติม
เวลามีใครไปหาพนักงานของ Facebook ก็จะใช้วิธีลงทะเบียนและพิมพ์บัตรด้วยการ login แล้วก็ tag พนักงานผ่าน Facebook ด้วย iPad บริเวณ reception ...เจ๋งมวากกกก
Company Store มีของเจ๋งๆน่ารัก คุณภาพโอเคขายเพียบ แต่ไม่สามารถซื้อกลับมาฝากได้จริงๆ เพราะแพงทุกชิ้น ^^"
ใครที่บ้าถ่ายรูปแล้วได้ไป Facebook คงจะสนุก เพราะว่าที่ออฟฟิศเค้ามีการให้ศิลปินเข้ามาสร้างสรรค์งานศิลปะอยู่เรื่อยๆ ผนังของบริษัทจึงเต็มไปด้วยงานศิลป์สวยๆให้ได้ชื่นชมและถ่ายรูปตลอดเวลา
มีเฟซบุ๊ควอลล์จริงๆให้เขียนด้วย เลยมาขอเจิมซะหน่อย 
ถ้าเทียบบรรดาบริษัทเทคที่ได้ไปเยี่ยมเยียนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (Google, Apple, Facebook, Twitter) ต้องบอกว่า Facebook คงเป็นบริษัทที่ประทับใจที่สุดในทุกบริษัททั้งเรื่องการตกแต่งและบรรยากาศ การทำงาน ดูชิค มีพลัง และยังเป็นวัยรุ่นอยู่มาก เรียกว่าแอบอยากเขียนโค้ดเป็นแล้วสมัครไปทำงานที่นี่เลยทีเดียวล่ะครับ 
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ 
โดยคุณ: Gimme

ความคิดเห็น

  1. โปรโมชั่นสล็อต100%แนะนำโปรโมชั่น ดีๆ เด็ดๆ จากค่ายเกมสล็อตออนไลน์ PG SLOT ค่ายเกมน้องใหม่ป้ายแดง สุดร้อนในปี 2022 นี้ สมัครสมาชิกแล้วเข้าไปเล่นกันได้เลย กับ pg

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค