ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร

"แอปเปิ้ลวันละลูก ช่วยให้คุณห่างไข้ไกลหมอ" อาจารย์สุวรรณา ผู้กราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมเป็นประจำ กำลังป่วยด้วยโรคอ้วน พาเอาร่างกายที่หนัก 90 ก.ก. มาหาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

"ดิฉันเพิ่งกลับจากไต้หวัน เพราะลูกศิษย์ลูกหาที่นั่นเยอะ งานก็เยอะมาก ดังนั้น ทุกเช้าลูกศิษย์จะทำอาหารให้กิน ดิฉันก็บอกว่า กินง่ายๆ ขอแอปเปิ้ลสักลูกละกัน เพราะสุภาษิตที่ไต้หวันก็บอกว่า แอปเปิ้ลวันละลูกทำให้เราห่างไข้ไกลหมอนะ"

"ใช่แล้วครับ แต่แอปเปิ้ล 30 ลูกใน 1 เดือนก็อาจพาอาจารย์ให้ป่วยหนักเพราะโรคอ้วนและจะกลายเป็นเบาหวานในที่สุด" ผมแย้ง แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ เพราะเป็นอันรู้กันทั้งเธอและผมว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่เคยดิ้นทุรนด้วยปัญหาโรคอ้วน ซึ่งแก้ปัญหาตัวเองไม่หลุดซะที

"ตื่นเช้าอาจารย์ก็กินไก่ย่างสักตัวกับผักสักจาน" ผมเริ่มทบทวนอาหารให้

"ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันกินเจตอนเช้า" นั่นทำให้ผมชะงัก นึกสงสารว่าคนกินเจอย่างเธอมักจะหาของกินอร่อยๆ ได้ยาก

แล้วสุดท้ายก็มัวแต่เชื่อว่าผลไม้ดีต่อสุขภาพ แล้วกินเข้าไปทุกวันๆ จนอ้วนเละเทะ



เอาละ ท่านผู้อ่าน ผมกำลังจะเปิดศักราชต่อต้านการกินผลไม้และน้ำผลไม้กันจริงจังเสียที หลังจากที่ปล่อยผู้รักสุขภาพพากันชื่นชมกับการกิน "ผักผลไม้" ว่าเป็นหนทางออกของสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงๆ ผักมักจะไม่ยอมกินเพราะขื่นและเตรียมให้พร้อมกินได้ยาก คนก็เลยเอาความสะดวกเข้าว่า กินผลไม้กันอย่างมักง่ายๆ แล้วปากก็พาป่วยด้วยประการฉะนี้

ผมกำลังจะบอกคุณว่าปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าเราอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุมาจากการกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ซึ่งหลายๆ คนมัวแต่หลีกเลี่ยงของหวาน แต่ลืมคิดไปว่าคาร์โบไฮเดรตที่อันตรายมาในรูปรสจืด อันได้แก่ แป้งข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น และมากับหวานอมเปรี้ยวได้แก่ผลไม้ชนิดต่างๆ คือตัวร้าย

ทรรศนะของผมในเรื่องนี้มันช่างตรงกับแพทย์และนักวิชาการในต่างประเทศคนอื่นๆ ด้วย เริ่มต้นตั้งแต่ นพ.ริชาร์ด จอห์นสัน แพทย์อายุรศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ ที่กล่าวว่า "ทุกครั้งที่ผมศึกษาสาเหตุเบื้องลึกของโรคภัยไข้เจ็บแต่ละโรคในสมัยนี้ ก็มักจะไปจบลงที่สาเหตุจากความหวานนั่นเอง"

"คิดดูก็แล้วกัน ทำไมผู้คนทั่วโลกเวลานี้กว่า 1 ใน 3 จึงมีโรคความดันเลือดสูง เทียบกับเมื่อปี ค.ศ.1900 จะมีคนเป็นโรคความดันเลือดสูงเพียง 5% เท่านั้น? แล้วทำไมจึงมีคนทั่วโลกที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 153 ล้านคนในปี ค.ศ.1980 เมื่อเทียบกับเวลานี้ที่เรามีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 347 ล้านคน? ทำไมคนอเมริกันจึงป่วยด้วยโรคอ้วนมากขึ้นทุกที? ก็น้ำตาลหรือความหวานนั่นแหละที่เป็นสาเหตุใหญ่"



มองย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.1675 ตอนนั้นยุโรปกำลังระเบิดระเบิงด้วยความหวาน นพ.โทมัส วิลลิส ซึ่งเป็นสมาชิกก่อตั้งราชสมาคมบริทิช เป็นคนแรกที่บันทึกไว้ว่า "ปัสสาวะของคนเบาหวานช่างหวานเจี๊ยบราวกับใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลเอาไว้" ต่อจากนั้นอีก 250 ปี ฮาเวน อีเมอร์สัน มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ตายมากขึ้นทุกทีนับจากปี ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1920 ที่พบว่ามีสาเหตุสัมพันธ์กับการกินหวาน

ครั้นถึงปี ค.ศ.1960 นักโภชนาการชาวอังกฤษชื่อ จอห์น ยุดกิน ก็ได้ทำการทดลองทั้งในสัตว์และในคนซึ่งแสดงให้เห็นว่าสัตว์หรือคนที่กินอาหารที่มีน้ำตาลมากจะนำไปสู่การมีไขมันและอินซูลินในเลือดสูง

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของยุดกินก็ถูกกลบด้วยเสียงโพนทะนาของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่ต่างก็กล่าวโทษสารคอเลสเตอรอลที่ได้มาจากไขมันอิ่มตัวในอาหารว่าเป็นสาหตุของโรคอ้วนและโรคหัวใจที่มีอัตราสูงขึ้น

ผลก็คือไขมันถูกลดทอนลงให้เหลือนิดเดียวในอาหารของคนอเมริกันเมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน

แต่กระนั้นก็ตามสถิติของผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนแทนที่จะลดลงก็กลับถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง "สาเหตุสำคัญก็มาจากน้ำตาลนั่นเอง" นพ.จอห์นสันกล่าว

"โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตส (หรือน้ำตาลผลไม้)"



นํ้าตาลซูโครส คือน้ำตาลที่วางอยู่บนในพวงเครื่องปรุงอาหารของเรา มันประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำตาล 2 โมเลกุล หนึ่งคือกลูโคส อีกหนึ่งคือ ฟรุกโตสซึ่งก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่เจอในผลไม้

ความรู้ประการหนึ่งที่ผู้คนทั่วไปมักจะไม่ได้ใส่ใจก็คือ เมื่อกินน้ำตาลซูโครสจากกระปุกน้ำตาลบนโต๊ะอาหาร จากเครื่องดื่มหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวานผสมโซดา น้ำอัดลม หรือลูกอม กระทั่งความหวานจากผลไม้ น้ำตาลซูโครสที่กินเข้าไปจะแตกตัวเป็นกลูโคส+ฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคสจะถูกใช้ไปอย่างง่ายดายโดยเซลล์ทั่วร่างกาย แต่น้ำตาลฟรุกโตสที่ตกค้างอยู่จะมีอวัยวะเดียวที่จะหมุนใช้มันได้คือ ตับ

ด้วยเหตุนี้เมื่อใดที่เรากินหวานๆ เข้าไปมาก ฟรุกโตสเมื่อถูกลำเลียงมาตามกระแสเลือดจนถึงตับ ตับก็จะสลายฟรุกโตสแล้วสร้างขึ้นมาเป็นไตรกลีเซอไรด์ ไตรกลีเซอไรด์ที่มีมากขึ้นส่วนหนึ่งจะถูกส่งเข้ากระแสเลือดโดยตับจะสร้างรถบรรทุกขึ้นมา คือไลโปโปรตีนนั่นเอง โครงสร้างของไลโปโปรตีนนั้นประกอบด้วยโปรตีนกับคอเลสเตอรอล เป็นเหตุให้คอเลสเตอรอลสูง

ไลโปโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นจะลำเลียงไตรกลีเซอไรด์ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ เอาไปใช้

แต่ถ้ามีเหลืออีกก็จะลำเลียงไปเก็บซุกไว้ใต้ผิวหนัง เป็นสาเหตุของความอ้วน

ส่วนไตรกลีเซอไรด์อีกส่วนหนึ่งจะตกค้างอยู่ในตับ สะสมอยู่ในเซลล์ กลายเป็นภาวะไขมันพอกตับในที่สุด

ไขมันที่ล่องเลยอยู่ในกระแสเลือดจะเกิดการสะสมอยู่ในหลอดเลือด เป็นเหตุให้หลอดเลือดแข็งตัว เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ อัมพาตตามมา



ในอีกด้านหนึ่ง น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน อินซูลินออกมาบ่อยๆ นานๆ เข้าเซลล์ก็จะเกิดอาการดื้อด้านต่ออินซูลิน กลายเป็นเบาหวานนั่นเอง

ถึงตอนนี้แหละคนคนนั้นก็จะตกเข้าสู่ภาวะของกลุ่มโรคเผาผลาญผิดปกติ (metabolic syndrome)

อันเป็น "ชามรวมมิตร" ของความผิดปกติทั้งหลายแหล่ ได้แก่ อ้วน น้ำตาลเลือดสูง อินซูลินในเลือดสูง แต่เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน มีเบาหวาน ความดันเลือดสูง แถมด้วยไตรกลีเซอไรด์สูง HDL ต่ำ และ LDL ชนิดเม็ดเล็ก (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี) ต่ำอีกด้วย ซึ่งบางทีเราเรียกว่าซินโดรมเอ็กซ์ (Syndrome X)

ผมขอเรียกว่า "โรครวมมิตร" น่าจะเหมาะ

สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกาประกาศว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันผู้ใหญ่กว่า 1 ใน 3 กำลังป่วยด้วยโรครวมมิตรกลุ่มนี้

เมื่อไม่นานมานี้สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศคำเตือนแล้วว่า ให้ลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ลงในอาหาร แต่เหตุผลเพียงระบุว่า "เพราะน้ำตาลไปเพิ่มแคลอรี โดยไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ อย่างอื่น"

แต่เหตุผลของสถาบันสุขภาพฯ นี้สำหรับ นพ.จอห์นสัน แล้ว ถือว่าเป็นการประกาศที่พลาดเป้าหมาย "เพราะน้ำตาลไม่แต่เพียงเป็นแคลอรีเปล่าเปลือง แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ...มันเป็นพิษ"

เช่นเดียวกับ โรเบิร์ต ลัสติง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการต่อมไร้ท่อ เขากล่าวว่า "มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแคลอรีเกินสักกะหน่อย เหตุผลที่สำคัญก็คือ น้ำตาลคือสารพิษ ถ้ากินมากเกินไป"

นพ.จอห์นสันให้ข้อสรุปการเจ็บป่วยของคนอเมริกันว่า คนอเมริกันกันกินมากและออกกำลังกายน้อย เหตุผลที่กินมากและออกกำลังกายน้อยก็เพราะว่าพวกเขาเสพติดความหวาน มันไม่แต่เพียงทำให้พวกเขาอ้วนขึ้น แต่ทันทีที่พวกเขากินโด๊สแรกของความหวาน มันก็จะดูดกลืนเรี่ยวแรงออกไปจากตัวเขาทันที ทำให้พวกเขาอ่อนปวกเปียกลงไปนอนกองที่เก้าอี้ การที่คนอ้วนชอบดูโทรทัศน์นั้น ไม่ใช่เพราะโทรทัศน์ดูแล้วสนุกหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาหมดเรี่ยวหมดแรงเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาออกกำลังกายได้

"หมดเรี่ยวแรงเพราะการกินหวานนั่นเอง"



ทางออกก็คือ ตัดการกินหวานซะทันที

เมื่อหยุดกินหวาน โรคต่างๆ ที่ป่วยอยู่ก็จะดีขึ้น เพราะน้ำตาลในเลือดลดลง ไตรกลีเซอไรด์ถูกใช้ไป ทำให้หายอ้วน คอเลสเตอรอลลดลง หลอดเลือดสะอาดขึ้น ความดันลดลง หัวใจปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส เรี่ยวแรงจะคืนกลับมา

แต่ปัญหามีว่าทุกวันนี้เราช่างหลีกเลี่ยงความหวานได้ยากเสียเหลือเกิน เพราะเราเคยตกอยู่ในโลกของความกลัวไขมัน อุตสาหกรรมอาหารจึงเอาความหวานมาเสนอขายแทนความมัน ไม่เชื่อหันไปมองดูสิ บรรดาอาหารที่ว่าไขมันต่ำก็ล้วนออกรสหวานๆ ทั้งนั้น

นั่นเป็นเรื่องของชาวอเมริกัน แต่ถ้าเป็นคนไทยแล้ว ความหวานที่เรานิยมกินกันและหลงเชื่อว่าดี ก็คือผลไม้ เรากินผลไม้และน้ำผลไม้อย่างไม่บันยะบันยัง

แถมหลงว่าเป็นอาหารสุขภาพเสียด้วย ทั้งที่มันทำให้เราป่วยด้วยโรครวมมิตรพอๆ กับที่ฝรั่งหลงกินของหวานกัน

เรื่องจริงจึงมีว่า ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ลก็มีผลให้เราอ้วนตายได้!!!

เรื่องเศร้าจึงมีว่า ทุกวันนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่การป่วยตาย ทั้งๆ ที่เรายอมอดอาหารที่แสนอร่อยอย่าง หมูหัน ไก่ตอนและลดทอนไข่แดง โดยต้องทนกินของไม่อร่อยที่หวานแสบไส้

สุดท้ายอาหารที่ต้องทนกินนี้กลับทำให้เราตายเร็วลงซะฉิบ!!

...........



(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22-28 สิงหาคม 2557

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค