ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ไร้งบการตลาด

กองบ.ก.เส้นทางเศรษฐี


ไร้งบการตลาด! "อดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์" ทำอย่างไร เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ ขายได้...เดือนละ 10,000,000 ขวด"ช่วงแรกที่เซ็ปเป้ไปไม่รอด เป็นเพราะมีอะไรผิดพลาด เลยกลับมาทบทวนใหม่ จนพบว่าแพ็กเกจจิ้ง มีปัญหา ผมจึงขอเปลี่ยนดีไซน์แพ็กเกจจิ้งใหม่ ซึ่งทางเซเว่นฯ ก็ให้โอกาส ใช้เวลาประมาณ 1 ปีหลังจากปรับโฉมกลับมาวางขายใหม่ในเซเว่นฯ อีกครั้ง ทั้ง 3,500 สาขา คราวนี้โป๊ะ ขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน"



"เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ" หรือที่นิยมเรียกกันว่า "ฟังก์ชันนัลดริ๊งก์" (Functional Drink) แม้ตลาดยังไม่ใหญ่และเป็นเรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน แต่มีการวิเคราะห์กันว่าน่าจะเป็นสินค้าที่มีโอกาสเติบโตอีกมาก ดังจะเห็นได้จากข้อมูลของ "ศูนย์วิจัยกสิกรไทย" ที่คาดการณ์ไว้มูลค่าตลาดฟังก์ชันนัลดริ๊งก์ของไทย ในปี 2553 จะมีมูลค่าถึง 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

กล่าวสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องดื่มประเภทดังกล่าวนี้ มีทั้งบริษัทของคนไทยและต่างชาติ แต่ส่วนมากมักเป็นเจ้าใหญ่ๆ ที่คร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มประเภทอื่นมาก่อน อาจเป็นเพราะผู้ประกอบการเหล่านี้มีความได้เปรียบในทุกด้าน อีกทั้งยังมี "ชั่วโมงบิน" ในการทำตลาดที่สูงกว่า

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง "รายใหญ่" ใช่ว่าจะขึ้นแท่นเป็นเบอร์หนึ่งเสมอไป เพราะในตลาดเครื่องดื่ม ฟังก์ชันนัลดริ๊งก์ ณ เวลานี้ ผู้ที่ครอบครองส่วนแบ่งไว้ได้ถึงร้อยละ 60 จากมูลค่าการตลาดกว่า 2,000 ล้านบาทนั้น ว่ากันว่ามาจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายเล็กๆ ซึ่งทำธุรกิจในฐานะผู้ผลิตขนมกระจุกกระจิก พวก คุกกี้ ครองแครง มะขามแก้ว ห่อละ 5 บาท 10 บาท มาก่อน

แต่เมื่อกิจการตกทอดมาสู่รุ่นที่สอง ทายาทหนุ่มผู้มองการณ์ไกล ซึ่งเชื่อมั่นว่า "ของจะขายได้ ต้องมีไอเดียที่แตกต่าง" สามารถนำพากิจการของครอบครัวที่กำลังง่อนแง่น ให้ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาด "ฟังก์ชันนัลดริ๊งก์" ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ทั้งที่เป็นหน้าใหม่ในวงการเครื่องดื่มซะด้วยซ้ำ แถมยังสามารถดำเนินกิจการมาถึงวันนี้ วันที่สินค้าในความดูแลของเขา มียอดขายปีละ 1,200 ล้านบาท!



ธุรกิจขนมทรุด

ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง 


คุณอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ ซึ่งอยากให้เรียกแบบกันเองว่า คุณก้อง ในวัย 37 ปี กับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" คือบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงในย่อหน้าก่อน ย้อนความทรงจำเมื่อครั้งครอบครัวเริ่มทำธุรกิจให้ฟังว่า เมื่อราว พ.ศ. 2516 คุณพ่อ-คุณแม่ ของเขาเปิดห้องแถวคูหาเล็กๆ ทำคุกกี้ส่งขายตามสถานีรถไฟและสถานีขนส่ง ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้กิจการเติบโตเรื่อยมา กระทั่งปี พ.ศ. 2531 จดทะเบียนในนาม บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด มีโรงงานผลิตขนมพวก ครองแครง มะขามแก้ว ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน ยอดขายตกราว 4-5 ล้านบาท ต่อเดือน

"ขนมครองแครงถุงละ 5 บาท คือสินค้าหารายได้เลี้ยงผมมาจนโต โรงงานของเรามีขนมแบรนด์ต่างๆ ตั้งชื่อตามลูกทุกคน ยี่ห้ออดิศักดิ์ตามชื่อของผมก็มี แต่เจ๊งไปแล้วครับ" คุณก้อง เริ่มต้นเรื่องราว เรียกเสียงหัวเราะ ก่อนเล่าต่อ

ธุรกิจของครอบครัวดำเนินมาด้วยดี จนเมื่อ 4-5 ปีก่อนหน้านี้ กระแสความนิยมมีแต่ทรงกับทรุดลงเรื่อยๆ แนวโน้มต่อไปไม่ดีแน่ เมื่อเขาจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่นกลับมา จึงรับมอบหมายจากครอบครัว ให้ไปหาตลาดใหม่ๆ นอกประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่กัมพูชา เป็นแห่งแรก

"ครั้งแรกที่ไปหาตลาดในกัมพูชา ไปด้วยความไม่รู้ ผมมีสินค้าเป็นขนมครองแครงห่อละ 5 บาท ซึ่งขายอยู่ในตลาดล่าง จึงคิดว่าขนมของผมน่าจะเหมาะกับตลาดกัมพูชา แต่พอไปถึงจึงรู้ว่าประเทศที่จนกว่าเรา ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องการสินค้าแพ็กเกจจิ้งไม่สวย" คุณก้อง ย้อนประสบการณ์เมื่อครั้งนั้นให้ฟัง

เมื่อตระหนักแล้วว่า "แพ็กเกจจิ้ง-Packaging" ที่ดูดีย่อมเป็นที่ต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ครั้นกลับมาถึงเมืองไทย คุณก้องจึงบอกกับตัวเองว่า ต้องทำอะไรสักอย่างกับธุรกิจที่บ้านของตน จนทำให้นึกย้อนไปถึงช่วงศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น

"สิ่งที่สังเกตเห็นจากการเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นคือ ตู้ขายเครื่องดื่ม จะมีความหลากหลายให้เลือกเยอะมาก เลือกกินไม่ครบเลย จึงมาคิดว่าคนไทยน่าจะมีความหลากหลายแบบนั้นบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงช่วงนั้นชาเขียวกำลังจะเริ่มบูม ในตลาดสินค้าหลักๆ จึงมีแค่น้ำอัดลม น้ำเปล่า น้ำผลไม้ในกล่อง เลยคิดว่าน่าจะหันมาทำเครื่องดื่มขาย" คุณก้อง เล่าจุดเริ่ม



โมกุโมกุ ขายดี

หนึ่งปีก๊อบปี้เพียบ 


เกิดความคิดหันเหมาทำธุรกิจเครื่องดื่มแทนขนมถุง ซึ่งคุณก้องมั่นใจว่าน่าจะไปได้ดีกว่าธุรกิจดั้งเดิมของรุ่นคุณพ่อ-คุณแม่ แต่การจะแปรความอยากริเริ่มซึ่งวนเวียนอยู่ในสมอง ให้ออกมาเป็นรูปธรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับ "น้องใหม่" ในวงการเครื่องดื่มอย่างเขา

"ตอนนั้นมีคนงาน 40 คน เซลส์ 2 คน รถส่งของ 3 คัน ถ้าทำน้ำผลไม้ทั่วไปออกมาขายคงสู้เจ้าใหญ่ที่เขามีแรงโฆษณามากกว่า มีทุนมากกว่าไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยทำให้ธุรกิจรายเล็กๆ อย่างผมสู้ได้หรืออย่างน้อยสามารถเข้าไปสอดแทรกในตลาดได้ นั่นคือต้องมีความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่าง" คุณก้อง เล่าพร้อมออกลีลาน่าติดตาม ก่อนบอกอีกว่า

"ทำน้ำผลไม้อย่างเดียวผมสู้ไม่ได้อยู่แล้ว หรือถ้าจะทำจริงๆ คงต้องขายถูกกว่า ถ้าไม่ถูกกว่าใครจะมาซื้อสินค้าของผม เพราะแบรนด์ผมไม่ดัง ผมจึงลองออกผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของวุ้นมะพร้าว ดื่มได้ด้วย เคี้ยวได้ด้วย และยังไม่มีใครทำ"

คุณก้อง ยังย้อนให้ฟังถึงประสบการณ์เมื่อครั้งนำ "โมกุโมกุ" น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว ออกวางตลาดเป็นครั้งแรกในห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเมืองไทยว่า เขาเป็นคนขับรถไปส่งของด้วยตัวเอง ผ่านคำสั่งซื้อจากทางห้างจำนวนเพียง 1 ลัง หักต้นทุนแล้วมีกำไรเหลือแค่ 27 บาท แต่เขาเต็มใจทำเพราะถ้าไม่เริ่มนับหนึ่ง มัวคิดว่าจะคุ้มกับค่าเหนื่อยหรือเปล่า คงไม่มีวันนี้

"พอ 1 เดือนผ่านไป มีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นเป็น 15 ลัง ลูกน้องไม่กล้าไปส่ง เพราะทางห้างเขากำหนดขั้นตอนหลายอย่าง แม้ผมจะทำงานประจำอยู่ในบริษัทญี่ปุ่นแล้ว แต่ต้องไปส่งของเอง เหงื่อแตกพลั่กเลย คำนวณแล้วมีกำไร 200 กว่าบาท เหนื่อยมาก แต่ดีใจเพราะของเริ่มขายดี" คุณก้อง เล่ายิ้มๆ

หลังจากนั้น "โมกุโมกุ" ก็ขายดิบขายดีมาตามลำดับ ถึงกับผลิตออกมาขายไม่ทัน ทำให้ความดีใจที่เคยได้ กลายเป็นทุกข์หนักไปเลยทีเดียว

"เมื่อไหร่ก็ตามที่สินค้าของคุณขายดีและผลิตไม่ทัน มันจะเป็นปัญหาที่ทำให้ดีใจได้ไม่เกิน 1 ปี เพราะอีกปีหนึ่งต่อมาจะมีสินค้าที่เหมือนของคุณเปี๊ยบเลยมาเทียบกัน ซึ่งของผมก็เหมือนกัน หลังจากที่ขายโมกุโมกุ ได้ 1 ปี ก็มีสินค้าที่เหมือนกันออกมาอีกเป็นสิบยี่ห้อ"

"นี่คือวัฏจักร ที่แปลว่าอะไรก็ตามที่ขายดีแล้วผลิตไม่ทัน และถ้าคุณไม่เตรียมพร้อมในอนาคต หรือถ้าสินค้าของคุณไม่เจ๋งจริง รับรองคุณต้องเสียตำแหน่งหรืออาจโดนเขี่ยตกกระดานไปเลยก็ได้ ฉะนั้น การผลิตจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง" คุณก้อง บอกจริงจัง



เจอโจทย์ยาก

แต่ไม่ยอมแพ้ 


กิจการบริษัท ทรัพย์อนันต์ฯ ดำเนินมาด้วยดี กระทั่งปี 2549 คุณก้องได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" พร้อมกับแนวคิด "แค่ดื่ม...ก็สวย" โดยเจ้าของกิจการ เผยให้ฟังว่า กว่าจะประสบความสำเร็จกันอย่างที่เห็นทุกวันนี้ ก็เจอโจทย์ "ยากมาก" มาแล้วหลายข้อ

คุณก้อง เล่าว่า เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ ออกวางตลาดครั้งแรกในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทั้ง 3,500 สาขา ขายได้อยู่ไม่ถึงปี ยอดขายเติบโตใน "ทางลง" เรื่อยๆ กระทั่งเหลือวางขายอยู่ราว 1,000 สาขา จึงหารือกับทางผู้บริหารของทางเซเว่นอีเลฟเว่น ว่าจะให้ขายต่อหรือจะให้เลิก หากให้เลิกก็ยินดีเพราะไม่ต้องการดันทุรัง แต่หากจะให้ขายต่อ เขาขอกลับมาทำ "การบ้าน" เกี่ยวกับสินค้าของเขาเสียใหม่

"ช่วงแรกที่เซ็ปเป้ไปไม่รอด เป็นเพราะมีอะไรผิดพลาด เลยกลับมาทบทวนใหม่ จนพบว่า แพ็กเกจจิ้ง มีปัญหา ผมจึงขอเปลี่ยนดีไซน์แพ็กเกจจิ้งใหม่ ซึ่งทางเซเว่นฯ ก็ให้โอกาส ใช้เวลาประมาณ 1 ปีหลังจากปรับโฉมกลับมาวางขายใหม่ในเซเว่นฯ อีกครั้ง ทั้ง 3,500 สาขา คราวนี้โป๊ะ ขายดีจนผลิตแทบไม่ทัน" คุณก้อง บอกให้ฟังอย่างนั้น และว่า

"แต่เรามีบทเรียนจากโมกุโมกุมาแล้วว่า ถ้าผลิตไม่ทันไม่นานจะมีคู่แข่งออกมา เลยเตรียมการให้โรงงานอีกราว 7 แห่งช่วย ทำให้ไม่มีปัญหาในเรื่องของกำลังการผลิต ถึงวันนี้มีออร์เดอร์ ผลิตเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ อย่างเดียว ประมาณ 10 ล้านขวด ต่อเดือน"

ให้ข้อมูลมาถึงตรงนี้ คุณก้อง ยอมรับตรงๆ ว่า ในช่วงแรกกิจการของเขาไม่มีงบทำการตลาด ซึ่งตัวเขาศึกษามาทางด้านการโฆษณา มีหลักวิชามากมายสอนให้ทำโฆษณาแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เคยมีวิชาไหนสอนเลยว่า ถ้าไม่มีเงินทำโฆษณาแล้วจะทำสินค้าดังได้อย่างไร เขาจึงคิดว่ายุคนี้น่าจะเป็นยุคที่สื่อสารกันตรงๆ ว่าสินค้านั้นมีขึ้นมาเพื่ออะไร

"เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ กินแล้วสวยไม่มีใครเชื่อหรอก ผมเลยคิดวิธีการไปออกบู๊ธตามออฟฟิศ แนะนำให้ลูกค้าซื้อไปทานจนครบ 1 เดือน แต่สแกนผิวก่อนดื่มไว้ก่อน พอ 1 เดือนผ่านไป ผมกลับไปตรวจสภาพผิวของลูกค้าคนนั้นว่าแตกต่างกันแค่ไหน ซึ่งถ้าของผมดีจริงคนต้องบอกต่อๆ กัน" คุณก้อง บอก

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ "เซ็ปเป้" กลายเป็นสินค้าที่ยอมรับกว่า 37 ประเทศทั่วโลก ยอดการผลิตต่อปีมีมูลค่าถึง 1,200 ล้านบาท และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีก แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ คุณก้อง ยืดอกรับว่า เคยต้องนอนร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 2 ถึงตี 3 มาแล้ว

"ไม่มีธุรกิจไหนหรอกครับที่ราบรื่นตลอด แต่ผมเชื่อว่าทุกปัญหามีทางแก้ ความสำเร็จในธุรกิจของผมวันนี้ 70 เปอร์เซ็นต์มาจากลูกบ้า ที่ชื่อว่าความพยายาม ผมไม่ยอม ผมไม่แพ้ ถึงผมแพ้ผมก็เอาใหม่ จะเอาให้สำเร็จให้ได้" คุณก้อง บอกจริงจัง ก่อนเล่าให้ฟัง ที่ผ่านมาด้วยความที่ต้องการขยายตลาดไปที่ทวีปยุโรป เขาจึงต้องเดินทางต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา เพื่อวิ่งขายของ

"ทุกวันนี้ผมเกลียดสนามบินมาก ผมต้องเดินทางด้วยเครื่องบินตลอดเวลา จนบางครั้งไม่รู้ว่าตอนนี้อยู่ประเทศอะไร ผมเคยโดนลูกค้าไล่ลงจากรถ แต่ผมไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของโลก พอกลับเข้าโรงแรมได้ผมนอนร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 2 จนถึงตี 3 นี่คือประสบการณ์จริง แต่ผมไม่เคยยอมแพ้ ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ"

"เพราะคุณต้องสู้ คุณถึงจะได้" คุณก้อง ทิ้งท้ายไว้อย่างนั้น



กว่าจะเป็น "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์"



บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด


ปี พ.ศ. 2516 คุณพ่อและคุณแม่ของคุณอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ มีใจรักในการทำขนม ได้ซื้อเตาอบเล็กๆ เพื่อใช้ในการผลิต "คุกกี้" ขายตามสถานีรถไฟและสถานีขนส่ง ด้วยความใส่ใจในเรื่องคุณภาพและรสชาติ จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนทำให้มีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ภายใต้แบรนด์ "ปิยจิต" กิจการได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนในปี พ.ศ. 2531 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด และได้ย้ายฐานการผลิตไปยังโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน

ปี พ.ศ. 2544 บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด เริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม โดยเริ่มต้นจาก "โมกุโมกุ" น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าวรายแรกของตลาด ซึ่งในขณะนั้นตลาดเครื่องดื่มในเมืองไทยยังมีความหลากหลายน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ ซึ่ง "โมกุโมกุ" ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาตลอดกว่า 7 ปี และล่าสุด บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด ได้ระงับการผลิต โมกุโมกุ ในปี 2553 เพื่อให้ผู้บริโภคได้คิดถึง

ก้าวกระโดดสู่ความสำเร็จแบบไร้งบการตลาด

หลังจาก "โมกุโมกุ" ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ในปี พ.ศ. 2549 คุณอดิศักดิ์ รักอริยะพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด ผู้บริหารรุ่นที่ 2 ของครอบครัว ได้สร้างหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับตลาดเครื่องดื่มของไทย ด้วยการส่งเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแนวใหม่ ภายใต้แบรนด์ "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" ชูแนวคิด "แค่ดื่ม...ก็สวย!" นับเป็นการสร้างแคทิกอรี่ใหม่ให้กับฟังก์ชันนัลดริ๊งก์ อย่างชัดเจนเป็นรายแรก ปลุกกระแสจนประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยปากต่อปากแบบไร้งบการตลาด

ใส่ใจและพิถีพิถันตั้งแต่วัตถุดิบจนส่งถึงมือผู้บริโภค

เนื่องจากไม่มีงบทำการตลาด การจะทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักและขายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด จึงตั้งใจในการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกประเภท โดยเน้นที่คุณภาพเป็นอันดับแรก เพราะเชื่อว่า ผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งพิสูจน์แล้วจาก "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" ที่ผู้บริโภคดื่มผลิตภัณฑ์แล้วเห็นผล จึงเกิดการซื้อซ้ำและบอกต่อ แต่การจะได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์คุณภาพนั้น วัตถุดิบและกระบวนการผลิต ถือเป็นปัจจัยสำคัญ บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด จึงพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบที่นำมาใช้เป็นส่วนประกอบโดยต้องมีคุณภาพสูง ปราศจากสารเคมี และที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น คอลลาเจนที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ ต้องเลือกชนิดที่สกัดมาจากปลาทะเลน้ำลึกเกรด A ล้วนๆ จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นแหล่งคอลลาเจนที่มีคุณภาพดีที่สุด เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด ยังให้ความสำคัญในการจัดการระบบบริหารคุณภาพตั้งแต่การจัดหาและการตรวจรับวัตถุดิบ ตลอดจนการควบคุมคุณภาพระหว่างการผลิต จนได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานกำหนด รวมทั้งความใส่ใจในเรื่องคุณภาพของพนักงานแต่ละคน จนได้รับการรับรองมาตรฐานระบบบริหารงานคุณภาพ ISO 9001 : 2000, GMP Codex, HACCP ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดและยืนยันถึงความพร้อมในการพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง

Innovative และ Packaging คือหัวใจ

ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด หรือ "เซ็ปเป้" มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความแปลกใหม่ หรือ Innovative ที่ไม่เหมือนใคร โดยมีแนวคิดว่า หากผู้บริโภคต้องการรูปแบบที่ไม่เหมือนใครต้องเลือก "เซ็ปเป้" แนวคิดนี้สามารถเห็นได้ชัดจากที่ทุกผลิตภัณฑ์ของ บริษัท ทรัพย์อนันต์ เยนเนอรัลฟู้ด จำกัด จะเป็นผู้เล่นรายแรกในตลาดเสมอ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้ผสมวุ้นมะพร้าว โมกุโมกุ เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมว่านหางจระเข้ เซ็ปเป้ อะโลเวร่า เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ เซ็ปเป้ สมาร์ทที ดริ้งค์ และล่าสุดคือ น้ำผักและผลไม้ 100% "เซ็ปเป้ ฟอร์วันเดย์" ซึ่งเป็นน้ำผักผลไม้ในขวด PET รายแรกของตลาด เน้นคุณค่าจากผักโดย 1 ขวดเท่ากับปริมาณผักที่ร่างกายต้องการสำหรับ 1 วัน มีรสชาติที่เข้มข้น อร่อยกว่าใคร อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ และไฟเบอร์ เหมาะกับผู้ที่รับประทานผักน้อย และผู้รักสุขภาพทุกคน

"เซ็ปเป้" ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Innovative ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภค โดยเลือกวิธีสื่อสารผ่าน Packaging ของผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ชื่อ แบรนด์ บรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกับขวดทรงปิระมิด ลวดลาย และนับเป็นรายแรกอีกเช่นกันที่ใช้ Neck Tag เป็นกลยุทธ์ในการอธิบายคุณสมบัติเฉพาะตัวของแต่ละผลิตภัณฑ์ จนส่งให้ บิวติ ดริ้งค์ ก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 เช่นทุกวันนี้ อีกทั้งผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายในร้าน Convenience store, G-store และ Supermarket ทั่วประเทศเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างสูงสุด ซึ่งทำให้ "โมกุโมกุ" และผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ "เซ็ปเป้" กลายเป็นสินค้าที่เป็นที่ยอมรับกว่า 37 ประเทศทั่วโลก ทั้งใน Asia, South East Asia, Middle East, America และ Europe

แบรนด์ไทยยิ่งใหญ่ในงานระดับโลก ANUGA2009 ด้วยรางวัล "taste09"

ด้วยคุณภาพของสินค้าและความตั้งใจของบริษัทที่ต้องการสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนชนะใจผู้บริโภคมาแล้วทั่วโลก ล่าสุด "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" คว้ารางวัล "taste09" INNOVATIVE AWARD ในงาน ANUGA 2009 ประเทศเยอรมนี นับเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างสูงสุดในเวทีผู้ผลิตอาหารโลก เพราะเป็นงานแสดงสินค้าอาหาร แบบครบวงจรที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของโลก มีผู้ผลิตอาหารจาก 97 ประเทศทั่วโลก เกือบ 7,000 ราย มาพบผู้ซื้อและผู้นำเข้าจากยุโรปและประเทศอื่นๆ จาก 180 ประเทศ กว่า 150,000 คน บนพื้นที่จัดงานกว่า 300,000 ตารางเมตร รวมมีผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้ากว่า 6,500 บู๊ธ ซึ่งหนึ่งในนี้คือ บู๊ธของ "เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์" ที่โดดเด่นในด้าน "Innovative Product" สร้างความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นๆ จนสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาได้

http://info.matichon.co.th/rich/rich.php?srctag=07014011153&srcday=&search=no

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค