ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

5 ผลไม้ไฮเอนด์ ราคาแพงระยับ

ไม่ใช่ “ราคาคุย” แต่เป็น “ราคาจริง” ของผลไม้ที่มีราคาอภิมหาแพง! และมีคนรอแย่งซื้อ ทันทีที่วางขาย

5 


ผลไม้ไฮเอนด์ 
ราคาแพงระยับถึงหลักแสน
         
          องุ่นพวงละ 175,600 บาท
          มะม่วงลูกละ 95,578 บาท
          แตงโมลูกละเกือบ 200,000 บาท
          สับปะรดลูกละกว่า 500,000 บาท
         
นี่ไม่ใช่ “ราคาคุย” แต่เป็น “ราคาจริง” ของที่มีราคาอภิมหาแพง และมีคนรอแย่งซื้อ ทันทีที่วางขาย
        
ส่วนเรา วันนี้ยังไม่มีปัญญาซื้อกินแน่ แต่อนาคตก็ไม่แน่เหมือนกัน ดังนั้นรู้ไว้เป็นข้อมูลก่อนก็ไม่เสียหาย เผื่อว่า สักวัน จะเป็นวันของเราบ้างไง?  555
        
สำหรับผลไม้โคตะระแพง 5 ชนิดนี้ มีอยู่ถึง 4 ชนิดที่เป็นผลไม้ของญี่ปุ่น มีเพียงสับปะรดเท่านั้นที่เป็น ผลไม้จากแคว้นคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ
       
ถึงตรงนี้ อาจมีใครนึกสงสัยว่า ทำไม ญี่ปุ่นถึงมีผลไม้ราคาแพงระยับมากขนาดนี้?
       
คำตอบก็คือ ตลาดผลไม้ของญี่ปุ่น มีความอะเมซิ่ง น่าทึ่งมากๆ คือ มีผลไม้แปลกๆ ที่ชวนอึ้งหลายอย่าง ก็ญี่ปุ่น และผลไม้ส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นก็มีราคาแพงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ทั้งนี้เพราะ คนญี่ปุ่นชอบซื้อผลไม้ราคาแพงๆมอบเป็นของขวัญกัน อย่างเช่น องุ่น เมล่อน ลูกพีช ยิ่งถ้าได้เป็น คนแรกๆที่สามารถซื้อผลไม้ระดับไฮเอนด์มากินได้ด้วยแล้วล่ะก็ มันยิ่งรู้สึก พราวด์ เป็นพิเศษ
       
ว่าแล้ว เราก็มาดู คุณสมบัติของผลไม้ที่มีราคาอภิมหาแพงแต่ละชนิดกันดีกว่า ว่า มีดี ตรงไหน ถึงได้แพงนัก?


      
เริ่มจาก องุ่นทับทิมโรมัน ซึ่งมีสเปกว่า องุ่นแต่ละเม็ดนอกจากจะต้องมีสีแดงเข้ม ยังต้องมีน้ำหนักอย่างน้อย 20 กรัม และต้องมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า 18 เปอร์เซ็นต์ และปลูกได้เฉพาะในจังหวัดอิชิกะวะ เท่านั้น อีกทั้งแต่ละปี ก็ออกผลไม่มาก จึงกลายเป็นสินค้าพรีเมี่ยมของจังหวัดอิชิกะวะ
      
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของสำนักข่าวAsiaOneบอกว่า องุ่นทับทิมโรมัน ปรากฏโฉมในท้องตลาดครั้งแรกเมื่อปี 2551 โดยกลุ่มเกษตรกรกลุ่มหนึ่งในจังหวัดอิชิกะวะ นำมาเปิดตัว วางจำหน่ายในจังหวัดอิชิกะวะเมื่อปี พ.ศ. 2551 และในปีนั้น ก็มีผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่ง ประมูลซื้อไปในราคาพวงละ 29,393 บาท ต่อมาในปี 2554 ก็มีเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่ง ประมูลซื้อไปด้วยราคาพวงละ 206,720 บาท
      
ส่วนปีนี้ องุ่นทับทิมโรมันพวงแรก มีเจ้าของห้องจัดงานเลี้ยงพิธีแต่งงานในจังหวัดอิชิกะวะ ประมูลไปด้วยราคา 175,600 บาท จากองุ่นจำนวน 16,000 พวงที่มีวางขายในปีนี้
     
สำหรับองุ่นทับทิมโรมัน พวงที่เจ้าของห้องจัดงานเลี้ยงแต่งงานได้ไป ในข่าวบรรยายว่ามีน้ำหนัก 800 กรัม และองุ่นแต่ละเม็ดมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตร โดยเฉลี่ยมีราคาประมาณเม็ดละ 5,814 บาท!!!


         
     
เอ้ก ออฟ เดอะ ซัน หรือ มะม่วงของญี่ปุ่น เป็นมะม่วงที่ได้ชื่อว่า มีราคาแพงที่สุด แม้จะลูกไม่ใหญ่ แต่ทว่า รสชาติหวานเจี๊ยบ เพราะมีน้ำตาลสูง เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มะม่วงญี่ปุ่น 2 ลูก สามารถทำสถิติขายได้ราคาสูงถึง 300,000 เยน หรือราว 118,283 บาท
     
ถัดมา ได้แก่ แตงโมเปลือกดำ สินค้าจากเกาะฮอกไกโดที่เก็บเกี่ยวได้เพียงปีละ 10,000 ลูก บางลูกมีน้ำหนักมากถึง 11 กิโลกรัม เป็นแตงโมที่มีรสชาติหวานกรอบ และเป็นแตงโมที่ได้ชื่อว่า แพงที่สุดในโลก จากสถิติราคาที่เคยทำไว้สูงสุด ก็เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2551 ที่ขายได้ราคาสูงถึง 630,000 เยน หรือราว 199,868 บาท
     
เมล่อนยูบาริ เป็นเมล่อนที่ปลูกในจังหวัดยูบาริ เกาะฮอกไกโด เป็นผลไม้ที่นิยมซื้อมอบเป็นของขวัญ อย่างเมื่อปี 2556 ที่ผ่านมา มีเมล่อนยูบาริ 2 ลูกถูกซื้อไปด้วยราคาสูงลิ่วถึง 1,600,000 เยน หรือราว 507,601 บาท

      
คราวนี้ ก็ถึงคิว สับปะรดที่ได้ชื่อว่า แพงที่สุดในโลกกันบ้าง เป็นสับปะรดจากลอสต์ การ์เด้น ออฟ เฮลิแกน ในแคว้นคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ที่ดูภายนอก ก็เหมือนสับปะรดทั่วไป 

แต่ที่ทำให้สับปะรดที่นี่ต่างจากสับปะรดอื่นๆ ก็คือ “วิธีปลูก” ซึ่งต้องปลูกในสภาพอากาศที่จำลองขึ้นมาเพื่อให้เหมาะกับการเติบโตของสับปะรดพันธุ์นี้ ที่ยังต้องใช้กรรมวิธีปลูกย้อนยุคไปในสมัยวิกตอเรีย โดยเจ้าของสวนต้องปลูกสับปะรดในเรือนกระจก ใช้ปุ๋ยขี้ม้า และฟางข้าว และต้องใช้เวลาปลูกกว่า 2 ปีจึงจะออกผลโดยทั่วไปมีราคาเฉลี่ยอยู่ผลละกว่า 500,000 บาท
      
ใครที่เคยคิดว่า เป็น เกษตรกร ไม่รวย     
ท่าจะต้อง คิดใหม่แล้วล่ะมั้ง

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10:31:02 น. มติชนออนไลน์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค