ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เลือกผลไม้ให้ดีมีผลกับรูปร่าง

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “ นั้นมีประโยชน์กับร่างกาย ทั้งช่วยในเรื่องของวิตามิน เกลือแร่ต่างๆ รวมถึงเกี่ยวข้องกับการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เนื่องจากมีใยอาหาร และให้พลังงานที่ดีกับร่างกาย นอกจากนั้นแล้วยังมีหลายรสชาติ ความอร่อย อีกต่างหากนะคะ
แต่ผลไม้มีรสหวานตามธรรมชาติ ซึ่งรสหวานนั้นก็ชวนให้ใครหลายคนติดใจความหวานนั้น และความหวานนี้ก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่อยู่ในผลไม้นั่นเอง ที่นี้ความหวานหรือน้ำตาลมักเป็นอุปสรรคของคนที่เป็นเบาหวาน เพราะต้องระมัดระวังปริมาณน้ำตาลในร่างกาย ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานจึงควรกินผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสม เกณฑ์โดยทั่วไปสำหรับคนที่เป็นเบาหวานสามารถกินผลไม้ได้ ครั้งละ 1 ส่วน / มื้ออาหาร นอกจากนั้นผลไม้หลายชนิดกินแบบสดๆ แล้ว ยังนิยมทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม เพื่อความสดชื่นและแก้กระหายด้วย คนเป็นเบาหวานสามารถดื่มน้ำผลไม้ได้เช่นกัน เพียงแต่ดื่มให้พอเหมาะ อย่าติดใจในรสชาดจนดื่มเพลินมากเกินไป
สำหรับสาวๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักไปกับการทานผลไม้หรือน้ำผลไม้นั้น ก็ควรเลือกผลไม้ที่มีค่าของน้ำตาน้อยและกากใยสูง เพื่อประโยชน์สูงสุดในการทาน เพราะหากเพลินกับการทานผลไม้ โดยไม่ได้นึกถึงสิ่งนี้ แทนที่จะผอม คาดว่าสาวๆ คงต้องอ้วนเป็นแน่เลยค่ะ
และผลไม้ที่สามารถเป็นตัวช่วยให้สาวๆ ได้รับวิตามินอันสูงสุด รวมถึงกากใยอาหาร และทำให้ไม่อ้วน มีดังนี้ค่ะ
1. ฝรั่ง
ซึ่งถือเป็นสุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซี และยังเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย
2. แตงโม
สำหรับแตงโมนั้น อาจจะดูมีรสชาติที่หวานฉ่ำ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อ้วนหรอกนะคะ เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากเกินไปด้วยนะคะ
3. ส้ม
ส้มก็เป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่ประโยชน์นั้นต้องอยู่ตรงที่กากใยของมันนะคะ สาวๆ อย่าแกะมันออกเป็นอันขาดเลยค่ะ เพราะนั่นแหล่ะคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม ถือเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ
4. มะละกอ
มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย และยังช่วยกำจัดไขมันต่างๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้
5. แก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้สาวๆ อิ่มท้องได้ง่าย ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็นหรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง
6. กีวี
อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาวๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย
7. เกรปฟรุต
สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน “เกรปฟรุต” ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรี่ต่อวัน แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้น
8. เบอร์รี่
ผลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่, แบล็กเบอร์รี่และราสเบอร์รี่ เต็มไปด้วนสารอาหารและมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่นมะม่วงหรือกล้วย นั้นคือเหตุผลที่ผลเบอร์รี่มักถูกยกย่องให้เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี ผลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีแคลอรี่ต่ำแถมยังหวานแบบมีประโยชน์ เส้นใยในผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
9. สตรอว์เบอร์รี่
สตรอว์เบอร์รี่ ผลไม้สุดโปรดของใครหลายคน ซึ่งมีแคลอรีเพียง 50 แคลอรี และ มีน้ำตาล 7 กรัม เท่านั้น แต่มีเส้นใยอาหารถึง 3 กรัม แต่สิ่งที่สุดยอดเกี่ยวกับสตรอเบอร์รี่(และผลเบอร์รี่ทั้งหมด) คือ มันตอบสนองความต้องการของหวานและน้ำตาลของสาวๆ ได้เป็นอย่างดี แถมยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
10. อะโวคาโด
หลายคนอาจไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้ อะโวคาโด คือผลไม้ชนิดหนึ่ง เป็นที่นิยมในแถบทวีปอเมริกาและยุโรป เพราะมันมีสารอาหารสูงและหลากหลายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่บางคนอาจไม่ชอบ เพราะมันไม่หวาน แถมมีไขมันสูง กินแล้วอาจอ้วนได้ แต่อย่าพึ่งเข้าใจผิด กรดไขมันในอะโวคาโดเป็ดกรดไขมันที่ดี คืออะโวคาโดมันมีกรดไมมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวถึง 70เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันร้ายในหลอดเลือด ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายลดลงได้ค่ะ
สำหรับน้ำผลไม้ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสามารถช่วยให้เราควบคุมน้ำหนักได้ เพราะบางน้ำผลไม้ อย่างเช่น ตามร้านสะดวกซื้อ ซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปนั้น น้ำผลไม้สะถูกปรุงแต่งด้วยวัตุดิบหลากหลายอย่าง บ้างเป็นสารเคมี บ้างก็เป็นน้ำตาล เพื่อให้น้ำผลไม้ที่ผลิตออกมามีความอร่อยมากยิ่งขึ้น และเราก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าผลไม้ที่เหล่าผู้ผลิตใช้นั้นมีสภาพเป็นอย่างไร สดหรือเปล่า ใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพหรือไม่ ดังนั้นนอกจากเราจะแบกรับความอ้วนที่มาจากสารเติมแต่งต่างๆ แล้ว เรายังต้องแบกรับความเสี่ยงของคุณภาพของน้ำผลไม้อีกด้วย
เพราะฉะนั้นหากเราสามารถทำน้ำผลไม้เองได้ที่บ้านก็คงจะเป็นผลดี มั่นใจว่าปลอดภัย ไร้สารปรุงแต่ง และช่วยให้เราลดน้ำหนักได้เป็นแน่
สูตรที่ 1 วัตถุดิบ : แอปเปิ้ลขนาดกลาง 5 ลูก, คื่นช่าย 2 ก้าน, ส้ม 2 ลูก
สูตรที่ 2 วัตถุดิบ : แอปเปิ้ลขนาดกลาง 4 ลูก, กะหล่ำปลี ¼ หัว, มะนาว 1 ลูก
สูตรที่ 3 วัตถุดิบ : แอปเปิ้ลขนาดกลาง 3 ลูก, คื่นช่าย 2 ก้าน, แตงกวา 1 ลูก, มะนาว 1 ลูก, ขิงขนาด 1 นิ้วโป้ง


วิธีทำของทุกสูตรก็ไม่ยากนะคะ เพียงแค่นำส่วนผสมทุกอย่างใส่เข้าเครื่องทำน้ำผลไม้ โดยที่ไม่ต้องใส่เติมแต่งอะไรเข้าไปเพิ่ม เราจะได้คุณประโยชน์จากผลไม้นั้นล้วนๆ เลย ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับ คือ นอกจากจะช่วยลดน้ำหนักแล้ว ยังช่วยลดความดันเลือด ช่วยลดคลอเรสเตอรอล และช่วยให้ระบบย่อยทำงานดีขึ้นอีกด้วย
จาก sanook.com

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหมัก

***ยาอมตะ..ไข่ดองน้ำส้มสายชูหม ัก*** ไข่ดิบดองน้ำส้มสายชูหมักเป็นตำ รายาโบราณของจีนในสมัยพระเจ้าจิ ๋นซีฮ่องเต้ ได้สืบทอดต่อมาจนถึงบัดนี้ได้เผ ยแพร่ไปทั่วแถบเอเชีย  และในหมู่ชาวจีน  ในประเทศอเมริกา ผู้นำตำรามาเผยแ พร่คน แรกได้นำยามาทานเอง และแนะนำให้เพื่อน ฝูงทานด้วยได้ ผลดีเหมือนปาฏิหารย์สามารถรักษา โรคได้หลายโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคของผู้สูงอายุ ผู้เผยแพร่ทานยาไปแล้วกว่า 100 ฟองได้ผลดีเหมือนอย่างหนังกำลัง ภายใน สังเกตจากการเดินขึ้นบันไดจะไม่เหนื่อยเหมือนแต่ก่อน เพราะหัวใจจะแข็งแรง มากเป็นพิเศ ษ สรรพคุณ : รักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจ) เลือดข้นและเหนียวเบาหวาน ความดันโลหิต สูง  ความดัน โลหิตต่ำ ลดไขมันในเลือด (ทั้งคลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไ รด์) ไทรอยด์อัมพฤกษ์หรืออัมพาต อันเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ ละลายหินปูน อาการเมื่อยชาตึงปวดและบวมตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่ างยิ่งบริเวณด้านหน้า และด้านหลั ง ปวดเข่าปวดหลังขาไม่มีเรื่ยวแรง (ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากหินปูนที่ง อก พอกกระดูกสันหลังเบียดหรือทับ เส้นประสาท)

Detox ราคาประหยัดด้วยกระเจี๊ยบเขียว

หลังจากงานเฉลิมฉลอง ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงกินเลี้ยงสังสรรค์กัน อาจจะเผลอตามใจปาก อาจลืมดูแล สุขภาพ ตัวเอง ว่าในรอบปีที่ผ่านมาร่างกายเราทำงานหนักโดยเฉพาะสุขภาพภายในที่ต้องแบกภาระหนักกับอาหารการกินที่เรากินเข้าไปอย่างไม่ระวัง เช่น กินปลาดิบ เสต็ก ผักดิบ ของหมักดอง  อาหารเหล่านี้อาจจะมีพยาธิแฝงตัวอยู่ อย่างน้อยร่างกายเราควร detox การถ่ายพยาธิปีละครั้งก็เป็นเรื่องดี เนื่องจากเจ้าพยาธิจะทำให้เลือดลมเดินไม่ดี และเมื่อมีการวางใข่ก็จะทำให้เลือดสกปรก ส่งผลทำให้เป็น ไฝ ฝ้า ผิวพรรณหมองคล้ำ ไม่สดใส กระเจี๊ยบเขียว  เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพราะมีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และเส้นใยสูง คนไทยส่วนใหญ่นิยมนำ กระเจี๊ยบเขียวมาจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังนำมาทำอาหารได้หลายอย่างอาทิ ยำกระเจี๊ยบเขียว แกงกะหรี่ปลาใส่กระเจี๊ยบเขียว ผัดเมล็ดกระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียวชุบแป้งทอด เป็นต้น สรรพคุณทางยา กระเจี๊ยบเขียว  เป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย มีขายตามตลาดสดทั่ว รวมทั้งในศูนย์การค้า มีคุณสมบัติในการช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะในฝักกระเจี๊ยบนั้นมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin)

สูตรสำเร็จ 90 วัน ผู้นำคนใหม่

วันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 16:54:11 น. มติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 24 กันยายน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เขียนข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระว่า เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือเล่มนึง น่าสนใจครับ ผมอ่านแล้วมีประโยชน์ดี โดยเฉพาะในช่วงใกล้ตุลาคม ที่จะมีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง รวมถึงคนทั่วไปที่ต้องมีการเปลี่ยนงาน หรือ เปลี่ยนตำแหน่งครับ หนังสือชื่อ "The First 90 Days" เขียนโดย Michael D.Watkins ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาผู้นำ การเปลี่ยนตำแหน่ง การเริ่มงานใหม่ Watkins เขากล่าวว่าจากผลการสำรวจผู้บริหารมากกว่า 1,300 คน 90% เห็นว่าช่วงการเริ่มงานในตำแหน่งใหม่เป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดของการเป็นผู้นำ และ 75% เห็นว่าความสำเร็จหรือความล้มเหลวในช่วง 2-3 เดือนแรก จะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึงความสำเร็จในอนาคต เขาจึงเขียนหนังสือเพื่อแนะนำกลยุทธ์ในการทำงาน 90 วันแรกให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เขาแนะนำกับดักที่ทำให้ผู้บริหารหลายคนล้มเหลวกับการเริ่มงานใหม่ ไว้ 7 ข้อครับ 1. ยึดติดกับความรู้ วิธีการปฏิบัติเดิมๆ ที่เคยทำสำเร็จในองค