ลีเซียนลุง
ทุกครั้งที่มีโอกาสสัมภาษณ์นักธุรกิจ คำถามหนึ่งที่ผมชอบถามเป็นประจำคือ...อะไรเป็นสิ่งยากที่สุดในการบริหาร?
ส่วนใหญ่จะตอบเรื่อง "คน" ทั้งสิ้น
ถามว่าทำไมการบริหารคนถึงยาก?
คำตอบมีหลายทิศหลายทางด้วยกัน แต่ที่แน่ๆ ทุกคนยอมรับว่าการสร้างแบรนด์ การพัฒนาโปรดักต์ หรือผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการประชาสัมพันธ์ การตลาด
การขนส่ง
การขนส่ง
หุ้นส่วน
คู่ค้า และคู่ค้า
ต่างใช้คนเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้าหากองค์กรหนึ่งองค์กรใดมีคนที่มีศักยภาพ มีทัศนคติที่ดี และมีใจเปิดกว้างต่อการรับรู้รับฟัง และพร้อมจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
องค์กรนั้นๆ จะประสบความสำเร็จโดยไม่ยาก
ตรงข้าม หากองค์กรใดไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ ความล้มเหลวจะมาเยือนโดยไม่ยากเช่นกัน ผลเช่นนี้ จึงทำให้หลายองค์กรในปัจจุบัน จึงให้ความสำคัญต่อเรื่องการสร้างคน และพัฒนาคนเป็นอย่างมาก
บางองค์กรถือเป็นนโยบายของบริษัท
เพราะเขาเห็นแล้วว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจหรือไม่ คนมีส่วนสำคัญอย่างมาก และคนนี่เองที่จะทำให้องค์กร
เดินหน้า หรือถอยหลัง
ทั้งคนยังทำให้องค์กรอยู่ได้อย่างยั่งยืน
"ลีเซียนลุง" อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์ เขียนไว้ในหนังสือจดหมายจากผู้นำ ซึ่งมี ìเฮนรี โอ.ดอร์มานน์î เป็นผู้เขียน และมี "นุชนาฏ เนตรประเสริฐศรี" เป็นผู้แปล บอกว่า...ตอนที่ผมสร้างประเทศ เริ่มต้นจากศูนย์ และคนรุ่นผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตขณะที่เราโตขึ้น เรารู้ว่าความก้าวหน้าของเราเกิดขึ้นจากเจตจำนง และเราไม่อาจนอนใจได้ว่าความก้าวหน้านี้จะดำเนินต่อไปได้เอง
"เยาวชนสิงคโปร์ทุกวันนี้เติบโตมาพร้อมโอกาส และสิ่งดีงามนานัปการที่คนรุ่นปู่ รุ่นพ่อลงแรงไว้ให้ แต่ก็ใช่ว่าพวกเขาจะได้มาเปล่าๆ พวกเขาเห็นวิกฤตในเอเชีย ภัยคุกคามจากการก่อการร้ายของกลุ่มหัวรุนแรง และการแพร่ระบาดของไวรัสซาร์ส พวกเขาประสบพบสิ่งท้าทายที่น่าครั่นคร้ามของการแข่งขันทั่วโลก เช่นเดียวกับความรุ่งเรืองของเอเชีย"
"ดังนั้น จึงยากที่จะบอกว่าสิงคโปร์ในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างไร อนาคตคือสิ่งที่เยาวชนสิงคโปร์ทั้งหลายต้องก่อร่างสร้างขึ้น แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าเราต้องการสิ่งใดจากเมืองใหญ่ที่หลอมรวมคนหลากชาติหลายภาษา ฉะนั้น สิ่งที่ท้าทายของเราคือการตระหนักรับรู้ถึงความปรารถนาเหล่านี้ เพราะคนแต่ละรุ่นต้องแก้ปัญหาของตนเอง"
"พร้อมกับต้องเตรียมคนรุ่นต่อไปให้พร้อมกับการแก้ปัญหาของตน เพราะคนแต่ละรุ่นควรพัฒนาประเทศของตน และโลกใบนี้ให้ดีขึ้นก่อนจากไป นี่คือเป้าหมายของผม"
อันไปสอดคล้อง และสอดรับกับความคิดของ ìเจมส์ เอส.เทอรีย์î ผู้บริหารของเอิร์นสต์แอนด์ยัง ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกที่เชื่อว่า...ความซื่อสัตย์ ความเคารพ และการทำงานเป็นทีม เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการบริหารองค์กร
"ความซื่อสัตย์ คือรากฐานรองรับสิ่งอื่นทั้งหมดที่จะสร้างสานขึ้น หากปราศจากรากฐานแห่งความซื่อสัตย์ที่มั่นคง ความสำเร็จใดๆ ย่อมพังครืนในที่สุด"
"ความเคารพผู้อื่นก็สำคัญ ทั้งคนที่คิดเหมือนเรา หรือคิดไม่เหมือนเรา คนที่ดูละม้ายคล้ายกัน หรือไม่เหมือนเลย คนที่มีลักษณะส่วนตัวบางอย่างเหมือนเรา เช่น เพศ เชื้อชาติ สัญชาติ หรือรสนิยมทางเพศ หรือไม่มีอะไรเหมือนเลย คุณไม่มีทางได้รับความเคารพจากผู้อื่น เว้นแต่เขาจะรู้สึกว่าเขาได้รับความเคารพจากคุณก่อน"
"ส่วนความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำงานเป็นทีมคือแก่น ไม่มีใครประสบความสำเร็จยาวนานด้วยตัวเองได้ แท้จริงแล้วผู้ประสบความสำเร็จทุกคนที่ผมพบ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำธุรกิจ นักวิชาการ นักการเมือง อาสาสมัคร พ่อแม่ ผู้ประกอบการ ล้วนตระหนักดีว่าความสำเร็จคือผลผลิตของการทำงานเป็นทีม โดยมีเป้าหมายร่วมกัน"
"แต่สิ่งที่จะช่วยให้ไปถึงเป้าหมายคือทัศนคติส่วนตัว เพราะทุกคนมีทักษะต่างกัน ฝึกฝนมาต่างกัน มีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน แต่ทัศนคติสำคัญกว่าการเรียนรู้ได้เร็ว ผมจึงเชื่อว่า ทัศนคติที่ถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ความเคารพ และการทำงานเป็นทีม จะนำคุณก้าวไปไกลแสนไกล"
โดยเฉพาะทัศนคติ ìลีกา ชิงî อภิมหาเศรษฐีแห่งเอเชีย ชาวฮ่องกง ก็เคยบอกว่า...ความยุติธรรม และการมีจิตยุติธรรมคือทัศนคติที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์สำหรับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจชีวิต
ฉะนั้น จะเห็นว่าในองค์ประกอบของการบริหาร รวมถึงองค์ประกอบในการดำเนินธุรกิจไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม สิ่งที่ซ่อนอยู่ในกลเกมแห่งการบริหาร
ต่างมีเรื่องทัศนคติเข้ามาเจือปนทั้งสิ้น
เพราะทัศนคติมาจากคน และคนภายในทีมของตัวเองจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ทัศนคติแห่งการยอมรับในบทบาทของผู้นำ ผู้ตาม รวมไปถึงบทบาทของธุรกิจ หรือองค์กร
ล้วนเริ่มต้นจากทัศนคติก่อนทั้งสิ้น
ผลเช่นนี้ จึงทำให้หลายบริษัทจึงใช้เครื่องมือบางอย่างเพื่อวัดทัศนคติของผู้มา
สมัครงาน เพราะอยากรู้ว่าเขามีทัศนคติต่อองค์กรอย่างไร?
ต่อเพื่อนร่วมงานอย่างไร?
หรือต่อวิชาชีพของตัวเองอย่างไรบ้าง?
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าองค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง เอสซีจี, ปตท. รวมไปถึง เครือซีพี จึงมีเครื่องมือวัดทัศนคติของผู้มาสมัครงาน รวมไปถึงพนักงานใหม่ และพนักงานที่จะเติบโตในสายงานอันดับต่อไป
เพราะอยากรู้ว่าเมื่อเขามาทำงาน และมีโอกาสต้องบริหารลูกน้อง คนเหล่านี้จะทำในสิ่งที่ตัวเองฝึกปรือมาได้หรือไม่
อย่างที่บอก องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ìคนî มีส่วนอย่างมาก
และคนนี่เองที่จะเป็นคำตอบแรกๆ ของทุกองค์กรเลยว่า...เราจะเลือกคนแบบใด?
เพราะทุกองค์กรต่างมีวัฒนธรรมของตัวเอง
ดังนั้น ถ้าตั้งโจทย์ผิดตั้งแต่แรก เราก็อาจได้คนผิดประเภทมาตั้งแต่แรกเช่นกัน
ต้องหมั่นฝึกเลือกคนบ่อยๆ ครับ?
สาโรจน์ มณีรัตน์คิดอย่างนักบริหาร
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น